เขียนโดย: Pajingo

เมื่อ: 13 กุมภาพันธ์ 2563 - 14:21

BMW S1000RR 2020 สัมผัสแรก กับประสบการณ์สุดเข้มข้นใน California Superbike School

 

           BMW S1000 RR 2020 (บีเอ็มดับเบิลยู เอส เทาซันด์ ดับเบิล อาร์) หนึ่งในสปอร์ตไบค์ที่สายสปอร์ตชาวไทยอยากสัมผัสมากที่สุด เปิดตัวมาตั้งแต่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่ง ณ ปัจจุบัน เริ่มมีการส่งมอบให้กับผู้ที่จับจองไว้เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็เป็นช่วงเลาเดียวกับที่ทาง BMW Motorrad ได้เชิญชวนคณะสื่อมวลชน ร่วมสัมผัสถึงความสุดยอดของสปอร์ตเรือธงอย่าง BMW S1000 RR 2020 แต่หากจะพูดว่าเป็นการทดลองขี่อย่างเต็มรูปแบบ ก็คงไม่ขนาดนั้น แต่เป็นการเรียนการสอนเพิ่มเพิ่มทักษะการขับขี่ในสนามแข่งโดย California Superbike School ที่ทาง BMW Motorrad จัดมาอย่างต่อเนื้องเพิ่มพัฒนาทักษะการขับขี่ให้กับลูกค้า

 

BMW S1000RR 2020

 

 

          เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ไฮไลท์ที่จะพูดถึงในครั้งนี้ คงอาจจะไม่ได้หนักไปทางเนื้อหาเกี่ยวกับตัวรถ BMW S1000 RR 2020 เฉกเช่นการ รีวิวรถใหม่ อย่างที่ผ่านๆ มา แต่หากเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรม BMW Motorrad Track Experience หรือการเรียนการสอนของทีม California Superbike School ที่ BoxzaRacing มองว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง หากนำมาประยุกต์ใช้ในการขับขี่อย่างเหมาะสม ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อเรื่องความปลอดภัย ความสนุกสนานในการขับขี่ รวมถึงยังสามารถทำเวลาการขับขี่ในสนามได้ดีขึ้น จากการรีดประสิทธิภาพของตัวผู้ขับขี่ออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่มากขึ้นนั่นเอง 

 

 

         สำหรับการกลับมาของ BMW S1000 RR 2020 ซึ่งถือเป็นเตนเนอเรชั่นที่ 3 ต้องบอกว่าได้รับการพัฒนาไปไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโครงสร้างที่มาในรูปแบบ Flex Frame ซึ่งให้ความยืดหยุ่นในการใช้งาน จับคู่กับสวิงอาร์มแบบหัวกลับ ช่วยลดจุดศูนย์ถ่วงของตัวรถให้ต่ำลง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการทรงตัว ทั้งทางตรงและในโค้ง อีกทั้งยังช่วยให้ BMW S1000 RR 2020 มีน้ำหนักที่เบาลงอย่างชัดเจน โดยจากเดิมอยู่ที่ 208 กก. ใน BMW S1000 RR เจนเนอเรชั่นก่อน แต่สำหรับรุ่นปี 2020 มีน้ำหนักเพียง 197 กก. เท่านั้น ซึ่งความต่างถึง 11 กก. ถือว่าไม่น้อย เมื่อเทียบกับความเป็นรถในพิกัดเดียวกันที่มีพละกำลังมากขึ้น

 

 

           เครื่องยนต์ของ BMW S1000RR 2020 ได้รับการอัพเกรดใหม่ในสไตล์ของค่ายในยุคปัจจุบัน ด้วยการเพิ่มระบบ BMW ShiftCam เข้าไป เช่นเดียวกับรุ่นใหญ่อย่าง BMW R1250 GS ซึ่งมีลักษณะการทำงานที่คล้ายคลึงกัน ต่างกันตรงที่ระบบ ShiftCam ของ BMW S1000RR 2020 จะเริ่มทำงานตั้งแต่ 9,000 รอบ/นาที ขึ้นไป และสามารถใช้รอบเครื่องยนต์ได้สูงสุดที่ 14,600 รอบ/นาที แรงม้าสูงสุดที่ทำได้คือ 207 ตัว ที่ 13,500 รอบ/นาที และแรงบิด 113 นิวตัน-เมตร ที่ 11,000 รอบ/นาที โดยมีโหมดการขับขี่ให้เลือกใช้ถึง 4 โหมด ทั้ง Rain, Road, Dynamic และ Race รวมไปถึงระบบตัวช่วยต่างๆ ทั้ง ABS Pro, Dynamic Traction Control และ Dynamic Damping Control เพื่อปรับเลเวลการทำงานของช่วงล่างให้เหมาะสมกับรูปแบบการขับขี่ ควบคุมโดยผ่านหน้าจอ TFT ขนาด 6.5 นิ้ว ที่ทำงานร่วมกับระบบ Multi Controller

 

 

             อีกปัจจัยหนึ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเลยก็คือ การปรับองค์ประกอบตัวรถเพื่อให้เป็นมิตรต่อผู้ขับขี่มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการยืดระยะฐานล้อให้ยาวขึ้นอีก 3 มม. เพื่อสร้างเสถียรนภาพในการขับขี่, ยกระดับความสูงของเบาะให้มากขึ้น เช่นเดียวกับระดับแฮนด์ที่เสมอแผงคอ ปรับขนาดถังน้ำมันให้เล็กลงเล็กน้อย เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถหนีบถังได้กระชับยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อการขับขี่ที่กระชับและสบายที่สุด ซึ่งหลังจากที่ลองคร่อมแล้ว บอกได้เลยว่า BMW S1000RR 2020 คือ มอเตอร์ไซค์สไตล์สปอร์ตที่ออกแบบมาให้เป็นมิตรต่อผู้ขับขี่ในลำดับต้นๆ ก็เป็นได้ เจนเนอเรชั่นก่อนว่าขี่ง่ายแล้ว มาเจอโฉมนี้เข้าไป บอกเลยว่า...ขี่ง่ายขึ้นอย่างที่คุณไม่เคยรู้สึกมาก่อนแน่นอน

 

รับทราบข้อมูลการพัฒนาของ BMW S1000RR 2020 ก่อนที่จะเริ่มการฝึก 

 

ทีมผู้ฝึกสอนจาก California Superbike School

 

สิ่งสำคัญสำหรับการเรียนในครั้งนี้ คือ การเปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ๆ

 

              ว่าด้วยเรื่องตัวรถกันไปแบบหอมปากหอมคอแล้ว ได้เวลาเข้าสู่หลักสูตรการเรียนการสอนของทาง California Superbike Schoolสนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ อย่างจริงจัง โดยทางสถาบันได้กำหนดหลักสูตรมาให้ผู้ขับขี่ได้เลือกเรียนใน 3 Level ซึ่งความเข้มข้นของเนื้อหาก็จะแตกต่างกันออกไป ด้วยความที่ผู้เขียนยังอ่อนหัดในเรื่องการขับขี่ในสนาม และอยากเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ อย่างจริงจัง จึงเลือกเริ่มต้นตั้งแต่ Level 1 ซึ่งข้อดีของการอบรมกับทาง California Superbike School คือ คุณจะได้เรียนรู้อย่างเข้มข้นและตรงจุด ในเทคนิคการขับขี่จากทีมผู้ฝึกสอนระดับเวิลด์คลาส ที่จะคอยสังเกตการณ์แบบตัวต่อตัว ทั้งในส่วนของทฤษฎีและปฏิบัติ หลังจากที่ปฏิบัติเสร็จใจแต่ละขั้นตอน จะมีการสรุปและถกในจุดดี จุดด้อย โดยโค้ชประจำตัว เพื่อการแก้ไขจุดบกพร่องที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่วงสิ่งหนึ่งที่เป็นหัวใจที่จะช่วยให้การเรียนการสอนกับทาง California Superbike School มีประสิทธิภาพสูงสุด ก็คือ การเปิดใจเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ ภายใต้เทคนิคและข้อกำหนดที่ทางสถาบันกำหนดไว้ เพราะหากคุณมาอบรมด้วยแนวความคิดแบบน้ำเต็มแก้ คุณอาจจะไม่ได้อะไรกลับบ้านไปเลยก็เป็นได้ ซึ่งเป็นที่น่าเสียดาย เนื่องจากเนื้อหาโดยส่วนใหญ่เป็นลิขสิทธิ์ของทาง California Superbike School เราจึงไม่สามารถบันทึกภาพในช่วงการสอนได้มากนัก เอาเป็นว่าขออนุญาตบรรยายเป็นตัวอักษรเพื่อให้เห็นภาพรวมของการอบรมในครั้งนี้ เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นถึงภาพรวมของกิจกรรม BMW Motorrad Track Experience ในครั้งนี้

 

 

              นอกจากจะต้องเปิดใจแล้ว สิ่งที่คุณจะต้องทำยามที่อบรวมหลักสูตรจาก California Superbike School คือ การต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากต้องมีการขยับสู่การเรียนการสอนในเซ็กชั่นต่อไปอย่างต่อเนื่อง แทบไม่มีการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ตลอดวัน โดยในเซ็กชั่นแรก เป็นการฝึกการควบคุมคันเร่ง ซึ่งหากสามารถควบคุมคันเร่งได้ดี ก็ยิ่งช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างราบรื่น ภายใต้เงื่อนไขที่ทางทีมผู้ฝึกสอนกำหนดคือ ขี่ด้วยเกียร์ 4 เพียงเกียร์เดียว และงดการใช้เบรก (ใช้ได้เฉพาะในกรณีที่จำเป็นจริงๆ) ด้วยเงื่อนไขที่ไม่มาก แต่ให้ความหมายที่ลึกซึง บอกได้เลยว่า หากคุณยิ่งซื้อสัตย์ต่อตัวเองมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งได้อะไรกลับไปมากเท่านั้น ซึ่งในสถานีนี้ นอกจากใจที่ต้องนิ่งโดยใช้คันเร่งอย่างเหมาะสมแล้ว คุณยังมีโอกาสที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดในการเลี้ยวด้วยความเร็วที่สูงขึ้น จากการงดเว้นการใช้เบรกอีกด้วย

 

 

              สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อดีของการอบรมหลักสูตรของ California Superbike School ก็คือ การมีครูฝึกคอยกำกับและดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงที่ครูฝึกลงมานำไลน์และบอกจังหวะการเปิดคันเร่ง ซึ่งช่วยให้การเดินคันเร่งในแต่ละโค้งทำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเมื่อจบเซ็กชั่นครูฝึกจะบอกจุดบกพร่องของตัวเราเพื่อการปรับแก้ในเซ็ชั่นต่อๆ ไป ก่อนที่จะขึ้นห้องอบรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับโจทย์และคำแนะในการฝึกเซ็กชั่นต่อไปอย่าง การกำหนดจุดเลี้ยวอย่างถูกต้อง ซึ่งการเลี้ยวให้มีประสิทธิภาพที่สุด อันประกอบด้วย 3 ปัจจัย คือ การเลี้ยวให้เป็นเส้นตรงที่สุด, หักแฮนด์ครั้งเดียวตอนเริ่มเลี้ยว และการเดินคันเร่งออกจากโค้งอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการกำหนดจุดเลี้ยวอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ 3 องค์ประกอบ ทีว่ามานี้ ทำได้อย่างถุกต้อง แม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยในครั้งนี้ ทางครูฝึกให้ความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ด้วยการให้ใช้เกียร์ 3 และ 4 แต่ยังคงงดใช้เบรก เพื่อฝึกการใช้คันเร่งอย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดิม 

 

 

              แม้จะเป็นเรื่องไม่ง่ายในการควบคุมความเร็ว แต่นี่ถือเป็นการฝึกความอดทน และความนิ่งของจิตใจผู้ขับขี่ได้ดีทีเดียว การกำหนดความเร็วให้เหมาะสมที่จะสามารถเข้าโค้งได้อย่างปลอดภัยนั้น อาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากทำได้ จะเป็นการช่วยยกระดับประสิทธิภาพในการขับขี่ของเราให้สูงขึ้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย ในทางตรงกันข้าม หากคุณเป็นคนที่ใจร้อน หรือขาดสมาธิ คุณอาจจะไม่ได้รับประโยชนืจากการอบรมในครั้งนี้เลยก็เป็นได้ สำหรับเซ็กชั่นที่ 3 เป็นการฝึกเลี้ยวอย่างรวดเร็วด้วยเทคนิคการ Counter Steer ซึ่งก็คือ การผลักแฮนด์ไปในทิศทางตรงข้าม เพื่อให้รถสามารถเปลี่ยนทิศทางเพื่อเข้าโค้งได้อย่างรวดเร็วกว่าการเลี้ยวแบบปกติ แน่นอนว่าเทคนิคนี้ อาจเป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างขัดอกขัดใจนักบิดหลายๆ คนที่ยังไม่เคยใช้ แต่หากได้ลองบ่อยๆ จนเกิดความเคยชิน ก็จะเป็นอีกหนึ่งหัวใจหลักที่ช่วยยกระดับการขับขี่ของคุณให้สูงขึ้นอีกขั้น 

 

คุณ Steph (Stephanie Redman) หนึ่งในทีมครูฝึกของ California Superbike School

 

 

                เชื่อว่าหลายคนที่ขี่รถในสนามแข่ง ล้วนแล้วแต่ใส่ความจริงจังเข้าไปไม่น้อย ด้วยเหตุผลอยากหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น การต้องการความเร็วที่สูงขึ้น ความกลัว หรือปัจจัยใดๆ ก็ตามแต่ ซึ่งในเซ็กชั่นที่ 4 ทางครูฝึกจาก California Superbike School สอนให้เรารู้สึกผ่อนคลายในการเข้าโค้ง หากเลี้ยวเข้าโค้งได้ตามไลน์ที่ต้องการแล้ว เพียงกำแฮนด์หลวมๆ เพื่อกระคองเท่านั้น ไม่ใช้แขนและมือในการรักษาตำแหน่งของตัวเองบนรถ แต่หลักสำคัญคือ การใช้ขาหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เพื่อรักษาเสถียรภาพของขณะที่ควบคุมรถ ซึ่งด้วยปัจจัยนี้เอง ทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกผ่อนคลาย ลดความตึงเครียดและความเหนื่อยล้า แม้จะต้องขี่ในระยะเวลานานๆ ในสเตชั่นนี้เอง ทางผู้สอนคืนความหลากหลายในการควบคุมรถให้เรามากขึ้น ด้วยการให้ใช้เกียร์ได้ตั้งแต่ 3-5 และสามารถใช้เบรกได้เล็กน้อย แอบสารภาพนิดนึงว่า ด้วยสภาพร่างกายที่เหนื่อยล้ามาทั้งวัน ทำให้ผู้เขียนหลุดไลน์ในบางโค้งไปบ้าง ด้วยความเร็วและรูปแบบการมองโค้งที่อาจจะไม่สัมพันธ์กับความเร็ว ซึ่งครูฝึกประจำตัวอย่างคุณ Steph (Stephanie Redman) ก็ได้แนะนำเทคนิค เพื่อการปรับแก้ในสิ่งที่ยังบกพร่องอีกด้วย

 

 

               สำหรับเซ็กชั่นที่ 5 เรียกได้ว่าเป็นการยกระดับสู่ความเร็วที่มากขึ้น ด้วยการวิเคราะห์โค้งในสนามเพื่อหาจุดเลี้ยวให้ได้เร็วที่สุด ซึ่งเมื่อได้จุดเลี้ยวที่ต้องการแล้ว ให้มองข้ามช็อตไปยังเอเพ็ก (หรือจุดในสุดของโค้ง) ที่ต้องการจะเข้า เนื่องจากสายตาเป็นหัวใจสำคัญที่จะนำพารถไปในทิศทางที่ต้องการ ซึ่งหากกำหนดจุดเลี้ยว และหาเอเพ็กในดวงใจได้อย่างรวดเร็วแล้ว ก็จะช่วยให้เราสามาถเข้าโค้งในระยะเวลาที่สั้นลงอีกด้วย และด้วยอีกหนึ่งความสำคัญของการมองก็คือ ทำให้เราโฟกัสกับโค้งในแต่ละโค้งได้มากขึ้น อาการสมาธิหลุดในเซ็กชั่นก่อน กลับหายไปในเซ็กชั่นนี้ ซึ่งหากมีการนำเทคนิคต่างๆ ที่ได้เรียนรู้ตั้วแต่เซ็กชั่นแรกมาประยุกต์ใช้ ก็ยิ่งช่วยยกระดับการขับขี่ของเราให้ดีมากขึ้น แบบเราไม่ต้องพยามยามในสิ่งที่เกินจำเป็นเลยแม้แต่น้อย โฟกัสที่หัวใจหลักๆ ทำทุกอย่างให้ถุกต้องในช่วงเวลาที่เหมาะสม ผลที่ได้คือ ความเร็วแบบที่เราคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

 

แม้เนื้อหาในการอบรมจะเข้มข้น แต่ความสนุกในการขับขี่ คือ หนึ่งในวัตถุประสงค์ที่ทาง California Superbike School วางไว้

 

 

             แม้ว่าเนื้อหาในการอบรมของทาง California Superbike School นั้น เรียกได้ว่าเข้มข้นเต็มขั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ทาง BoxzaRacing สัมผัสได้ คือ ความต้องการให้ผู้เรียนได้ผ่อนคลาสและสนุกกับการขับขี่อย่างเต็มที่ ซึ่งทางผู้ฝึกสอนเองก็เทรนด์อย่างเป็นกันเอง และสอดแทรกความบันเทิงเข้าไปเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความผ่อนคลายที่สุด อันนำมาซึ่งการได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีอย่างเต็มที่เช่นกัน ในส่วนของตัวรถ BMW S1000RR 2020 แม้ว่าผู้ขี่ แทบจะไม่มีโอกาสได้โฟกัสอะไรมากนัก เนื่องจากต้องการพัฒนาตัวเองจากการอบรมในครั้งนี้ให้ได้มากที่สุด แต่ก็พอสรุปได้แบบคร่าวๆ ว่า BMW S1000RR 2020 เป็นสองล้อในสไตล์ซูเปอรืไบค์ยุคใหม่อย่างแท้จริง ออกแบบมาให้สามารถขับขี่ได้ง่าย ด้วยท่านั่งเป็นมิตร ไม่ก้มและตัวงอจนเกินไป สามารถขี่ไกลๆ นานๆ ได้แบบไม่ฝืนสังขารจนเกินไป สังเกตได้จากการลงไปขี่ในสนามในช่วงครึ่งวันบ่าย ผู้ขี่ยังคงรู้สึกสนุก ไม่มีความรู้สึกว่าร่างกายถูกทำร้าย จนรู้สึกอยากจะขี่เพื่อให้จบๆ ไปเท่านั้น 

 

 

             ความสามารถในการคอนโทรล ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ผู้เขียนยกย่องให้ BMW S1000RR 2020 เป็นซูเปอร์ไบค์ยุคใหม่อย่างแท้จริง ด้วยความที่สองล้อในยุคนี้ ล้วนได้รับการพัฒนามาให้ขี่ง่ายมากยิ่งขึ้น มีน้ำหนักเบาลง ให้ความพลิ้วไหวและสามารถเลี้ยวได้ง่าย โดยไม่บั่นทอนพละกำลังของผุ้ขับขี่มากเกินไปนัก ซึ่งจุดนี้ถือว่า BMW S1000RR 2020 ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ ขุมพลังในระดับ 207 แรงม้า กับระบบ BMW ShiftCam ที่ติดตั้งมาให้ ก็ถือว่าสามารถทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ บิดเด้ง เร่งลอย ตามสูตรสปอร์ตเครื่องพัน แต่หากสิ่งที่ได้มาคือ ความสมูทจากระบบไฟฟ้า รวมถึงตัวช่วยต่างๆ ที่ทาง BMW Motorrad ถือว่าเป็นผู้นำในด้านนี้แบบที่ยากจะหาใครมาเทียบเคียง ระบบ Quick Shifter ทำงานได้เรียบ เนียน ออกแรงน้อยทั้งขึ้นและลง แต่สิ่งที่เราทึ่งมากที่สุดคือ ระบบเบรกที่ให้การตอบสนองที่เฉียบคมมากๆ แม้ในเจนเนอเรชั่นนี้ จะเปลี่ยนจากแบรนด์ชื่อดังอย่าง Brembo มาเป็นแบรนด์ Hayes เจ้าพ่อวงการเบรกสัญชาติสแปนิชที่น้อยคนจะรู้จัก แต่หากวัดกันด้วยประสิทธิภาพแล้ว ยอมรับเลยว่า ชนะเลิศ เลยทีเดียว 

 

 

              จะว่าเป็นกำไรชีวิตของลูกค้า BMW Motorrad ก็คงจะไม่ผิด หากจะเทียบกับค่าใช้จ่าย 16,000 บาท ที่ต้องเสีย แลกกับการได้เปิดประสบการณ์แบบเต็มอิ่มกับ BMW S1000RR 2020, การได้อบรมหลักสูตรการขับขี่ของทาง California Superbike School รวมถึงการดูแลอย่างดีจากทีมงาน ถือว่าคุ้มค่าอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะนอกจากคุณจะได้ความรู้กลับไปแบบเต็มตัวแล้ว คุณยังจะมีโอกาสได้สัมผัสกับสุดยอดสปอร์ตไบค์ที่คุณกำลังหมายปองอยู่ก็เป็นได้ 

 

 

-BMW S1000RR 2020 สีแดง Racing Red ราคา 1,020,000 บาท 

-BMW S1000RR 2020 สีไตรคัลเลอร์ Light White /Racing Blue Metallic / Racing Red ราคา 1,050,000 บาท

*มาพร้อมกับโปรแกรม BMSI (BMW Motorrad Service Inclusive) ที่มีระยะเวลาบำรุงรักษาตามมาตรฐาน 3 ปี หรือ 30,000 กิโลเมตร และรับประกันคุณภาพ 3 ปี โดยไม่จำกัดระยะทาง

 

ขอขอบคุณภาพจาก BMW Motorrad, Pipe Superbike

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook