BMW S1000RR 2017 มีทีเด็ดอะไรซ่อนอยู่...ไปดูพร้อมๆ กันเลย
หากเราจะพูดถึงบิ๊กไบค์ระดับซูเปอร์สปอร์ตสักคัน ชื่อหนึ่งทีเชื่อได้ว่าเป็นลำดับแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว คงหนีไม่พ้นชื่อของเจ้าฉลามอย่าง BMW S1000RR ที่ไม่ว่ามองไปทางไหน เราก็มักจะเป็นสองล้อพันธุ์แรงผู้นี้ โลดแล่นอยู่บนท้องถนนกันอย่างต่อเนื่อง แต่ทุกท่านเคยสงสัยกันไหมครับว่า เพราะอะไร เจ้าฉลามผู้นี้ ถึงได้เป็นที่หนึ่งในใจสายสปอร์ตมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน วันนี้ BoxzaRacing จะพาทุกท่านไปหาคำตอบพร้อมๆ กัน
BMW S1000RR นับเป็นสปอร์ตตระกูลแรงจากค่ายใบพัดฟ้าที่ถือกำเนิดมาตั้งแต่ในปี 2009 ก่อนจะได้รับการต่อยอดและพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจวบจนปัจจุบัน โดยจุดเด่นของเจ้า BMW S1000RR นอกจากภาพลักษณ์ที่โดดเด่น ดุดัน คงหนีไม่พ้นในเรื่องของพละกำลังและสมรรถนะ ที่เรียกได้ว่าเหนือชั้นกว่ามอเตอร์ไซค์แนวสปอร์ตในคลาสเดียวกัน ซึ่งหากจะวัดกันในเรื่องของความแรง ต้องบอกว่าหาตัวจับเจ้าฉลามยากเลยทีเดียว หลังจากนั้นในปี 2015 ทางค่ายได้จัดการเปลี่ยนโฉมให้กับเจ้า BMW S1000RR ให้มีลุคที่ดุดันยิ่งขึ้น พร้อมกับขึ้นไลน์การประกอบในไทย ทำให้แฟนๆ สองล้อเข้าถึงเจ้าฉลามได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
ไฟหน้าดีไซน์ดุดัน ขนาบข้าง Ram Air สุดโหด
ขุมพลัง 4 สูบ 999 ซีซี. 199 แรงม้า ทีเด็ดแห่งฉลาม
ท่อไอเสียสำหรับปี 2017 แรงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยมาตรฐาน Euro 4
เวอร์ชั่นล่าสุดของ BMW S1000RR ก็คือ รุ่นปี 2017 ที่ได้รับการปรับรายละเอียดเล็กน้อย โดยจุดหลักๆ ที่เห็นเลยก็คือ เรื่องของท่อไอเสียที่ดีไซน์มาให้ผ่านมาตรฐานในระดับ Euro 4 พร้อมอัพเกรดระบบอิเล็คทรอนิคส์เพื่อให้สามารถขับขี่ได้ง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น เช่น ระบบ ABS Pro และ DTC Dynamic Traction Control โดยในเรื่องของความแรงนั้น ยังคงจัดหนัก จัดเต็มด้วยขุมพลัง 4 สูบเรียง DOHC ในพิกัด 999 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมออยล์คูลเลอร์ อัตราส่นกำลังอัด 13.0 : 1 ที่ให้พละกำลังในการขับเคลื่อนถึง 199 แรงม้า ที่ 13,500 รอบ/นาที พร้อมทั้งแรงบิดสูงสุดถึง 113 นิวตัน-เมตร ที่ 10,500 ระบบส่งกำลังมาในรูปแบบของเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ทำงานร่วมกับระบบ Gear shift Assistant Pro ที่ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ขึ้น-ลง ทำได้โดยง่ายโดยที่ไม่ต้องใช้คลัทช์
Gear shift Assistant Pro เนียนสุดในบรรดาควิกชิฟต์ทั้งหมดที่ผมเคยได้สัมผัส
นอกจากเครื่องยนต์อันทรงพลังแล้ว ทางค่ายยังคงจัดองค์ประกอบอื่นๆ มาให้แบบเต็มไม้เต็มมือไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของช่วงล่างที่มาพร้อมโช้คอัพไฟฟ้าคู่หน้าขนาด 46 มม. Dynamic Damping Control (DDC) ทำงานร่วมกับโหทมดการขับขี่ที่มีให้เลือกอย่างหลากหลาย ตั้งแต่โหมด Rain, Sport รวมถึง Race ที่แต่ละโหมดนั้น ก็จะปลดปล่อยความเร้าใจออกมาให้ใช้ได้ในระดับที่ต่างกัน โดยหาก 3 โหมดนี้ ยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้แบบพอมือ ทางค่ายยังจัดโหมด Slick ไว้ให้เลือกใช้หลังจากที่เข้าเซอร์วิสเช็คระยะครั้งแรกอีกด้วย ที่นี้แหละ...ต้องบอกเลยว่า พละกำลังของเจ้าฉลาม BMW S1000RR ก็พร้อมจะออกมารอที่ข้อมือขวาของคุณแบบเต็มๆ เลยทีเดียว ด้านระบบเบรก BMW S1000RR มาพร้อมคาลิเปอร์ 4 POT คู่หน้าจาก Brembo จับคู่กับจานขนาด 320 มม. ส่วนด้านหลังเป็นของ Brembo 1 POT จับคู่จาน 220 มม. พร้อมระบบ ABS Pro ที่ช่วยจัดการเรื่องแรงเบรกอย่างเหมาะสม เพื่อความปลอดภัยในระดับสูงสุด ด้านยางหน้ามาในขนาด 120/70 R17 และยางหลังขนาด 190/55 R17
ในส่วนของการขับขี่นั้น ผมมีโอกาสได้คลุกคลีกับ BMW S1000RR เวอร์ชั่นปี 2017 อยู่พอสมควร ลองขับขี่ทั้งบนนถนนหรือแม้แต่ในสนามมาในระดับกว่า 1,000 กม. ข้อมูลและความรู้สึกที่ผมได้รับมาจากเจ้าสองล้อผู้มนี้ โดยรวมถือว่าน่าประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียว และทำให้คำถามในใจของผม ที่สงสัยมาอย่างยาวนานว่า ทำไมผู้คนที่รักความแรงจึงได้เลือกใช้สองล้อคู่นี้เป็นม้าศึกคู่กายกันอย่างมากมาย เหตุผลประการแรก คงหนีไม่พ้นเรื่องของท่วงท่าในการขับขี่ที่ดูจะเข้าถึงง่ายที่สุด ใช้งานได้สะดวกที่สุดในบรรดารถตระกูลซูเปอร์สปอร์ตทั้งหมดที่มีขายอยู่ตามท้องตลาด องศาท่านั่งไม่ก้มมาก ขาไม่เหยียดตึงมากด้วยความสูงของเบาะเพียง 815 มม. สามารถเดินทางในระยะทางไกลๆ ได้แบบไม่ต้องกังวงมากนัก ประการต่อมาที่ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้หลายๆ คนเลือกรถรุ่นนี้มาเป็นม้าศึกคู่กาย นั่นก็คือ กำลังที่สามารถตอบสนองความเร้าใจของผู้ขับขี่ได้อย่างโดดเด่น ชนิดที่ว่าบิดเป็นพุ่ง ตัวรถพร้อมที่จะทะยานไปข้างหน้าตามน้ำหนักคันเร่งที่ใส่เข้าไป โดยที่ไม่ต้องกังวลว่ากำลังที่ออกมาจากเครื่องยนต์จะสูงเกินไปจนก่อให้เกิดอันตราย นอกจากระบบ Dynamic Traction Control ที่ได้รับการติดตั้งมาให้ สามารถตอบสนองการใช้งานได้อย่างเหมาะสม และตัดกำลังการทำงานของเครื่องยนต์แบบเนียนๆ ไม่รุนแรงเกินไปจนรู้สึกว่าขาดอรรถรสในการขับขี่ และอีกสิ่งหนึ่งอันเป็นไฮไลท์ที่ช่วยเติมความสนุกในการขับขี่ก็คือ ระบบ Gear shift Assistant Pro ที่ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ทำได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ซึ่งเท่าที่ลองขี่รถจากหลายๆ ค่าย หลายๆ แบรนด์มา ผมว่า...ยังไม่มีควิกชิฟท์จากแบรนด์ไหน ให้ประสิทธิภาพที่ดีเท่าของติดรถจาก BMW อีกแล้ว
ครั้งหนึ่งในสนาม กับการควบเจ้าฉลามซ้ำแล้วซ้ำเล่ากว่า 800 กม. ซึ่งทำให้ผมมั่นใจในตัวมัน
หลายๆ คนคงจะทราบกันดีถึงพละกำลังอันโดดเด่นบนท้องถนนของ BMW S1000RR อย่างแน่นอน แต่ใครเลยจะรู้ว่า อันที่จริงแล้ว เจ้าฉลามไม่ได้โดดเด่นแค่เพียงการขี่บนท้องถนนเท่านั้น แต่ยังพร้อมสำแดงเดชในสนามแข่งอย่างไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคู่แข่งแบรนด์ใดๆ อีกด้วย เพราะนอกจากเครื่องยนต์อันทรงพลังแล้ว ระบบช่วงล่างของ BMW S1000RR ยังได้รับการปรับเซ็ตมาอย่างดีเยี่ยม ให้ความมั่นใจสูงสุดในการเข้าโค้งรูปแบบต่างๆ ที่สามารถก้าวผ่านไปได้อย่างไร้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นโค้งในรูปแบบกว้าง แคบ หรือแม้แต่โค้ง S ที่ต้องอาศัยความคล่องตัวของตัวรถมาเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับระบบเบรก ที่แม้เป็นเซ็ตเดิมๆ ที่ติดตั้งมาให้จากโรงงาน แต่ก็ให้สมรรถนะสูงพอที่จะสยบความเร็วอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะผ่านการวิ่งด้วยความเร็วสูงต่อเนื่องอย่างยาวนาน แต่ก็ไม่รู้สึกถึงอาการเฟดที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับในส่วนของยาง ที่แม้ว่ายางติดรถที่ให้มานั้น จะเป็นยาง Pirelli Diablo Rosso II (ที่หลายๆ คนนิยมเปลี่ยนออก) แต่จะว่ากันไปแล้ว ยางที่ติดมาให้ ก็ถือว่าให้สมรรถนะในระดับที่น่าพอใจในทุกสภาพถนนเลยทีเดียว
สิ่งที่น่าชื่นชมอื่นๆ สำหรับ BMW S1000RR ก็คงหนีไม่พ้นในเรื่องระบบไฟฟ้า รวมไปถึงการแจ้งเตือนต่างๆ ที่ทำให้ผู้ขับขี่ได้ทราบถึงข้อมูลและสถานการณ์ทำงานที่แท้จริงของตัวรถ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่น ยางรั่ว ระบบก็พร้อมจะแจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่ได้ทราบในทันที เพื่อช่วยให้การขับขี่ยังคงเปี่ยมไปด้วยความปลอดภัยอย่างที่ทางค่ายตั้งใจไว้
ไม่ได้สัมผัสจริงๆ คงไม่รู้ กับความร้อนแรงเกินคำบรรยายที่อัดแน่นอยู่ใน BMW S1000RR 2017 ซึ่งก่อนอื่นคงต้องยอมรับตามตรงเลยว่า ก่อนหน้านี้ ผมก็ไม่ได้อินกับสปอร์ตผู้นี้มากนัก ด้วยความที่มีผู้คนใช้กันให้เกลื่อนเมืองไปหมด แต่หลังจากที่ได้ลองสัมผัสและเข้าถึงเจ้าฉลามแบบเต็มๆ แล้ว ผมกล้าพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า สองล้ออย่าง BMW S1000RR 2017 เป็นมอเตอร์ไซค์อีกหนึ่งรุ่นที่ทำให้ผมหลงรักอย่างปฏิเสธไม่ลง และไม่สงสัยเลยว่า กับค่าตัวในระดับ 840,000 บาท (สำหรับสีปกติ) และ 870,000 บาท (สำหรับสี Tri Color) มันคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปขนาดไหน อย่าเพิ่งเชื่อ...ถ้าคุณยังแค่ฟังเขามา !