เนคเก็ตไบค์ ถือว่าเป็นมอเตอร์ไซค์ที่ได้รับความนิยมในวงกว้าง ด้วยความที่เป็นรถที่สามารถใช้อย่างครอบคลุมทุกรูปแบบ มีทั้งเรี่ยวแรงและองค์ประกอบที่สามารถลงทำการแข่งขันได้ รวมถึงความสบายที่สามารถขี่ไปไหนมาได้ ออกทริปได้ ขี่ไปซื้อแกงหรือกินบะหมี่หน้าปากซอยก็ยังสะดวก เรียกว่าเป็นรถที่ขี่ได้ทุกแนวแบบไม่ต้องขัดเขินอะไรให้มากความซึ่งรถเนคเก็ตไบค์คลาสหนึ่งที่ถือว่าได้รับความสนใจจากไบค์เกอร์ทุกหัวระแหงก็คงหนีไม่พ้น “เนคตัวพัน” อันถือว่าเป็นรุ่นใหญ่ที่ตามใครไม่เป็น
BoxzaRacing จะนำทุกท่านเข้าสู่การ Battle เนคตัวพัน 2 รุ่น ที่กำลังเป็นกระแสในโลกโซเชียลอยู่ในขณะนี้ ซึ่งฝ่ายหนึ่งเป็นน้องใหม่ล่าสุดจากค่ายปีกนกที่ห่างหายไปจากรถคลาสนี้ในบ้านเรานานพอสมควร แต่ล่าสุดได้ส่ง Honda CB1000R มาลุยตลาดในงาน Motor Show 2018 พร้อมเผยค่าตัวมาแบบสุดว้าว ชนิดที่ทำให้แฟนๆ เนคเครื่องพันต่างอ้าปากค้างกันเป็นทิวแถว ส่วนอีกฝั่งเป็นคู่กัดตลอดกาล ผู้เป็นเจ้าของบัลลังก์ราชาเนคเก็ตไบค์พิกัดไม่เกิน 1,000 ซีซี. อยู่ในขณะนี้ นั่นก็คือ Yamaha MT-10 ที่ตอนนี้ทางค่ายจัดโปรมาแบบไม่จัด...ไม่ได้แล้ว โดยมอบอัตราดอกเบี้ย 0% สำหรับการผ่อนสูงสุด 48 เดือน เมื่อดาวน์ที่ 20% ของราคารถ 619,000 บาท เมื่อนำมาหักกับค่าตัวแล้ว ทำให้ Yamaha MT-10 มีราคาอยู่ในระดับต่ำกว่า 5.5x แสนบาท (ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในการผ่อน 48 เดือน เมื่อดาวน์ 20% อยู่ที่ประมาณ 65,xxx บาท) ซึ่งดูว้าวเช่นกัน จนทำให้เกิดการเปรียบเทียบว่า ส่วนต่างเพียงเล็กน้อยแบบไม่น่ามีอะไรต้องคิดเยอะ จะเป็นตัวไหนกันดี BoxzaRacing จะลองเทียบแบบหมัดต่อหมัดให้เห็น เพื่อไม่ให้เสียเวลา ไปชมพร้อมๆ กันได้เลยครับ
ภาพลักษณ์และโครงสร้าง
Honda CB1000R หากจะพูดถึงรถรุ่นนี้ในเจนเนอเรชั่นล่าสุด สิ่งที่ชวนสัมผัสมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องภาพลักษณ์ในสไตล์ Neo sport café ที่ผสานอารมณ์ความคลาสสิคของมอเตอร์ไซค์สไตล์ Café Racer และความทันสมัยสไตล์โมเดิร์นได้อย่างลงตัวภายใต้โครงสร้างที่ทางค่ายให้ชื่อว่า Steel Mono Backbone มิติตัวถัง กว้าง x ยาว x สูง อยู่ที่ 789 x 2120 x 1095 มม. ระยะฐานล้อ 1,455 มม. ความสูงเบาะ 830 มม. น้ำหนักตัวรถ 212 กก. ความจุถังน้ำมัน 16.2 ลิตร ส่วนอีกสิ่งหนึ่งของ Honda CB1000R ที่เรียกได้ว่าดึงดูดใจชายอย่างแท้จริง ก็คงหนีไม่พ้นการเลือกใช้สวิงอาร์มหลังแบบ Single Side หรือที่เรียกกันว่า Pro Arm ที่ให้มุมมองอันโดดเด่น เอาจริงๆ ก็คงไม่ต้องอะไรมาก สำหรับคนที่ชื่นชอบรถแนวนี้อยู่แล้ว เรือนร่างของ Honda CB1000R น่าจะถูกอกถูกใจไบค์เกอร์สายชิคอย่างแน่นอน
Yamaha MT-10 เคยเป็นหนึ่งในเนคเก็ตไบค์เครื่อง 1,000 ซีซี. ที่สร้างปรากฏการณ์มาแล้วตั้งแต่เปิดตัว ด้วยภาพลักษณ์สุดแปลกตา ให้ความรู้สึกที่ดุดัน จนได้รับการขนานนามว่า Bumblebee แต่สิ่งหนึ่งที่เหนือกว่าความแปลกใหม่ก็คือ เรื่องของโครงสร้าง Aluminum DeltaBox อันยอดเยี่ยม ที่ถอดแบบมาจากสปอร์ตตัวเจ็บในค่ายอย่าง Yamaha YZF-R1 แต่ได้รับการปรับรายละเอียดใหม่ให้เหมาะกับการใช้งานได้อย่างหลากหลายยิ่งขึ้น โดยยังคงไว้ซึ่งความเร้าใจอย่างเต็มเปี่ยม ถ้าใครที่ชื่นชอบเรื่องความล้ำสมัย ดุดัน น่าจะถูกอกถูกใจ Yamaha MT-10 สำหรับมิติตัวถังของ Yamaha MT-10 กว้าง x ยาว x สูง อยู่ที่ 800 x 2,095 ×1,110 มม. ระยะฐานล้อ 1,440 มม. ความสูงเบาะ 825 มม. น้ำหนักตัวรถรวมของเหลว 210 กก. ความจุถังน้ำมัน 17 ลิตร
ขุมพลังและความเร้าใจ
Honda CB1000R มาพร้อมเครื่องยนต์ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากตัวแข่งสายพันธุ์สปอร์ต แต่ได้รับการปรับย่านกำลังในช่วงรอบต่ำ – กลาง ให้สูงขึ้น โดยมาในรูปแบบ DOHC 4 สูบ แถวเรียง ในพิกัด 998 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยน้ำ ความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชัก อยู่ที่ 75 mm. x 56.5 มม. อัตราส่วนกำลังอัด 11.6 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด PGM-FI ให้กำลัง 143.5 แรงม้า ที่ 10,500 รอบ/นาที แรงบิด 104 นิวตัน-เมตร ที่ 8,250 รอบ/นาที ควบคุมการขับขี่ด้วยคันเร่งไฟฟ้าเทคโนโลยีคันเร่งไฟฟ้า (Throttle by Wire) มาพร้อมลูกเล่น Power Selector Selectable Engine Brake Control (EB), Honda Selectable Torque Control (HSTC) พร้อมโหมดการขับขี่ให้เลือก ถึง 4 แบบ SPORT, NORMAL, RAIN และ USER ส่งกำลังด้วยเกียร์ 6 สปีด และ Assist Slipper Clutch
Yamaha MT-10 ใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกับสปอร์ตไบค์พันธุ์ดุอย่าง Yamaha YZF-R1 ซึ่งมีทีเด็ดอยู่ตรงเลย์เอาท์ข้อเหวี่ยงที่มาในแบบ Crossplane ที่ให้พละกำลังและแรงบิดอย่างดุดันในทุกย่านกำลัง มาในรูปแบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ขนาด 998 ซีซี. ระบายความร้อนด้วนน้ำ และออยคูลเลอร์แยก ให้แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 160.4 ตัว ที่ 11,500 รอบ/นาที และมีแรงบิดสูงสุด 111 นิวตัน-เมตร ที่ 9,000 รอบ/นาที พร้อมทั้งเทคโนโลยี YCC-T หรือชุดคันเร่งที่ใช้การควบคุมด้วยไฟฟ้าสามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ตามต้องการ ส่งกำลังด้วยเกียร์ 6 สปีด พร้อม Slipper Clutch เช่นเดียวกัน (ในเวอร์ชั่นปี 2018 มาพร้อม Quick Shifter แล้ว แต่ไม่ขอพูดถึง เพราะในที่นี้เราอ้างอิงกับส่วนลด 70,000 บาทด้วย)
ช่วงล่างและระบบควบคุม
ขึ้นชื่อว่าแบรนด์ Honda แน่นอนว่าสิ่งที่โดดเด่นของค่ายนี้ก็คือ สมรรถนะด้านการควบคุมที่ให้ผู้ขับขี่เข้าถึงตัวรถได้ง่าย ขี่ได้อย่างเชื่องมือ สำหรับ Honda CB1000R ก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน โดยมาพร้อมโช้กอัพหน้าจาก Showa Separate Function Front Fork Big Piston (SFF-BP) แบบ Upside Down จับคู่กับชุดเบรกคู่หน้าแบบ Radial Mount คาลิเปอร์ Tokico 4 POT และจานขนาด 310 มม. พร้อม ABS ส่วนโช้กหลัง Balance Free Rear Cushion (BRFC) มาในแบรนด์เดียวกัน สามารถปรับละเอียดได้ถึง 7 ระดับ ส่วนยางที่ใช้มาในขนาด 120/70 ZR17 สำหรับล้อหน้า และ 190/55 ZR17 สำหรับล้อหลัง
สำหรับระบบช่วงล่างของ Yamaha MT-10 ทางด้านช่วงล่างมาพร้อมกับโช้คอัพด้านหน้าแบบ Upside Down ขนาด 43 มม. พร้อมกันสะบัดไฟฟ้า ด้านหลังแบบ Monoshock ระบบเบรคหน้าคาลิเปอร์ Advics 4 POT แบบ Radial-Mount ซึ่งทำงานควบคู่กับดิสก์เบรคขนาด 320 มม. พร้อมเสริมความมั่นใจด้วยระบบเบรค ABS ที่บรรจุอยู่ในล้อแม็ก Aluminium 5 ก้าน ส่วนด้านหลังเป็นแบบดิสก์เบรคเดี่ยวขนาด 220 มม. จับคู่กับคาลิเปอร์ลูกสูบเดี่ยว พร้อมระบบ ABS มาพร้อมยางหน้า-หลัง 120/70 ZR17 และ 190/55 ZR17 ตามลำดับ
ราคา
Honda CB1000R 515,000 บาท
Yamaha MT-10 ราคา 619,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือน
ได้เวลาแลกหมัด
โดยส่วนตัวแล้ว...จริงๆ มันเป็นคำตอบที่ตัดสินใจยากอย่างยิ่ง เพราะทั้งคู่ก็มีความโดดเด่น หรือจุดด้อยที่แตกต่างกันออกไป คันไหนก็ดี ขี่สไตล์ไหนก็โดนไปเสียหมด ความได้เปรียบของ Honda CB1000R นอกจากเรื่องของความสดใหม่ ก็คงเป็นเรื่องของสไตล์ที่มีความชัดเจน สามารถดึงเอาคาแร็กเตอร์ของผู้ครอบครองออกมาได้อย่างเด่นชัด มองมุมไหนก็ดูจะโดนใจไปเสียหมด คือ ถ้าไม่เอาเรื่องของความแรงเข้ามาเกี่ยวข้อง จัดว่า Honda CB1000R โดนใจไปเต็มๆ เลยทีเดียว ซึ่งเชื่อว่าเนคตัวพันรุ่นนี้ จะทำให้ตลาดเนคเก็ตไบค์รุ่นใหญ่ กลับมาพีคอีกครั้ง หลังจากที่ Kawasaki Z1000 เคยทำได้ในปี 2015 และสิ่งที่ทำได้เหนือกว่าของแบรนด์ Honda ก็คือ ศูนย์บริการที่ครอบคลุมกว่า สามารถเข้ารับการเซอร์วิสได้ง่ายยิ่งขึ้น
ตารางเปรียบเทียบข้อมูลพื้นฐาน Honda CB1000R กับ Yamaha MT-10
Honda CB1000R | สเปค รายละเอียดพื้นฐาน | Yamaha MT-10 |
4 สูบเรียง | เครื่องยนต์ | 4 สูบเรียง Crossplane CP4 |
998 ซีซี. | ปริมาตรกระบอกสูบ | 998 ซีซี. |
DOHC 4 วาล์ว/สูบ | ระบบวาล์ว | DOHC 4 วาล์ว/สูบ |
ขนาดกระบอกสูบ/ช่วงชัก | 79 mm x 50.9 mm | |
143.5 HP @10,575 rpm | แรงม้า | 160.4 HP @11,500 rpm |
104 Nm @8,250 rpm | แรงบิด | 111 Nm @9,000 rpm |
11.6 : 1 | อัตราส่วนการอัด | 12 : 1 |
MT 6 Speed | ระบบเกียร์ | MT 6 Speed |
Fuel injection | ระบบจ่ายน้ำมันเชื่อเพลิง | Fuel injection |
สตาร์ทไฟฟ้า(มือ) | ระบบสตาร์ท | สตาร์ทไฟฟ้า(มือ) |
คลัทช์มือแบบเปียก Multiplate | ระบบคลัทช์ | คลัทช์มือแบบเปียก Multiplate |
120/70 ZR17 | ขนาดยางหน้า | 120/70 ZR17 |
190/55 ZR17 | ขนาดยางหลัง | 190/55 ZR17 |
UpsideDown 43 มม. | โช็คอัพหน้า | UpsideDown 43 มม. |
Pro Arm |
โช็คอัพหลัง | Swingarm-Link |
Tokico 4 POT + ABS |
เบรคหน้า | Advics 4 POT + ABS |
1 POT จาน 256 มม. |
เบรคหลัง | 1 POT จาน 220 มม. |
2120 x 789 x 1095 มม. | ยาว x กว้าง x สูง | 2,095 x 800 ×1,110 มม. |
830 mm. | ความสูงเบาะ | 825 mm. |
212 kg. | น้ำหนักรถ | 210 kg. |
16.2 ลิตร | ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง | 17 ลิตร |
515,000 บาท | ราคาจำหน่าย | 619,000 บาท (พร้อมโปรโมชั่นดอกเบี้ย 0%) |
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบในความแรงแบบสุดขั้ว Yamaha MT-10 นี่แหละ...ที่ดูจะเป็นคำตอบที่โดนใจรองลงมาจาก BMW S1000R (ไม่นับ KTM 1290 Super Duke R ที่อยู่บนหิ้งตลอดกาล) ด้วยแรงม้าต่อน้ำหนักที่ดูอย่างไรก็เป็นต่อแบบเทียบกันยาก ซึ่งอันที่จริงแล้ว MT-10 ไม่ได้มีดีกว่าเพียงแค่นั้น แต่ในเรื่องของบาลานซ์ ความคล่องตัวในการขับขี่ คงจะหาใครที่เหนือกว่า Yamaha MT-10 ได้ยาก ด้วยฐานล้อที่ค่อนข้างสั้น ทำให้การพลิกรถทำได้อย่างรวดเร็ว ใครที่ได้ลองสัมผัสมาแล้ว น่าจะประทับใจเนคเก็ตไบค์รุ่นใหญ่ของค่ายส้อมเสียงอย่างแน่นอน และสิ่งที่หลายคนมองข้าม แต่โดยส่วนตัวผู้เขียนแล้ว อดที่จะพูดถึงไม่ได้นั่นก็คือ เรื่องของวัสดุและงานประกอบ ผมกล้าพูดเลยว่า เรื่องนี้ Yamaha ไม่เป็นรองแบรนด์ใดในโลกเลยจริงๆ
มาถึงตรงนี้แล้ว...BoxzaRacing คิดว่า ส่วนต่างเพียงราว 35,000 บาท ไม่น่ามีผลไปมากกว่าคำว่า “ความชอบส่วนตัว” ซึ่งสุดท้ายแล้ว ตราบใดที่ยังไม่ได้ซื้อ เงินอยู่ในมือคุณเสมอ เลือกรถที่ชอบ เลือกรถที่เห็นแล้วอยากขี่ สิ่งนี้บางทีมันสำคัญกว่าการเลือกรถที่ดีหรือเหนือกว่าเสียอีก เพราะต่อให้รถดีแค่ไหน ถ้าเราเห็นแล้วไม่รู้สึกว่าอยากจะขี่...ทุกอย่างก็จบ !