เขียนโดย: Pajingo

เมื่อ: 9 กุมภาพันธ์ 2559 - 15:05

ภาพโดย: BeastTorque

Automotive | Lifestyle | Cars

Test Ride...Triumph Street Twin สองล้อสุดคลาสสิคกับสัมผัสแรกแห่งความประทับใจ

 

 

 

Test Ride...Triumph Street Twin สองล้อสุดคลาสสิคกับสัมผัสแรกแห่งความประทับใจ

 

Triumph Street Twin ศิลปะที่ผสานสมรรถนะเป็นหนึ่งเดียว
 

          ถ้าจะนึกถึงมอเตอร์ไซค์สักหนึ่งคันที่คลาสสิค โดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีตำนานอันแสนยาวนาน แถมมีกลิ่นไอของแฟชั่นแนววินเทจที่ถูกใจไบค์เกอรืทุกเพศทุกวัย ทุกคนต้องมีชื่อแบรนด์ Triumph วิ่งเข้ามาในหัวเป็นชื่อแรกๆ อย่างแน่นอน แล้วยิ่งถ้าผมเอ่ยถือชื่อ Bonneville (บอนเนวิลล์) แล้วล่ะก็...

 

มุมมองด้านข้างดูคลาสสิค น่าเกรงขามยิ่งนัก

 

        Triumph Motorcycles (Thailand) ให้เกียรติเชิญทาง BoxzaRacing ร่วมทดลองขี่ Triumph Street Twin ที่เพิ่งเผยโฉมในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป เมื่อปลายปีที่ผ่านมา แต่การที่ผมจะได้ลองรถตัวเป็นๆ ครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่ 2 ของโลก หลังจากมีการทดสอบที่ประเทศสเปนไปเป็นที่แรก นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น และเป็นเกียรติที่จะได้ไปทดลองขี่เจ้า Street Twin มากขึ้นไปอีก

 

ดีไซน์ที่ดุเรียบง่าย แต่เปี่ยมล้นด้วยมนต์ขลัง

 

          Bonneville มีที่มาจากชื่อ บอนเนวิลล์ ซอลท์ แฟลตส์ ในมลรัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ที่มีฝุ่นเกลือปกคลุมอยู่ Triumph ได้ใช้สถานที่แห่งนี้ ในการสร้างสถิติความเร็วรถจักรยานยนต์ในปี ค.ศ.1956 จนทำให้ทั่วโลกได้รู้จักกับ Triumph Bonneville โดย Bonneville T120 ถือกำเนิดพร้อมกับการสร้างชื่อเสียงให้กับ Triumph มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1959 ด้วยการคว้าแชมป์ในรายการแข่งหลายรายการ ด้วยเครื่องยนต์ 2 สูบเรียง 650 ซีซี. ที่เน้นพละกำลัง เปี่ยมด้วยสมรรถนะ มีความเร็วสูง และดีไซตัวรถแบบ Cafe Racer ก็ยังถูกใจขาร็อคแอนด์โรลในยุคนั้นอีกด้วย ต่อมาในปี ค.ศ.2000 ทาง Triumph ได้พัฒนาเครื่องยนต์ของ Bonneville ให้มีความจุมากขึ้นเป็น 790 ซีซี. โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ จนในช่วงศตวรรษที่ 21 ค่าย Triumph ยังคงพัฒนารถตระกูล Bonneville อย่างต่อเนื่อง โดยการขยายเครื่องยนต์เพิ่มเป็น 865 ซีซี. และใช้ระบบจ่ายน้ำมันแบบอิเลคทรอนิคแทนคาร์บูเรเตอร์ ซึ่งถูกซ่อนเอาไว้อย่างแนบเนียนเพื่อให้ตัวรถยังคงรักษางานออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ไว้อย่างครบถ้วน

 
 เมื่อพร้อมแล้ว...ก็ลุยกันเลยดีกว่าครับ
 

          เช้าวันที่ 4 ก.พ. 2559 ทีมงานเดินทางถึง จ.เชียงใหม่ ผมรีบกระโดดขึ้นรถตู้ของทีมงาน Triumphจากสนามบินไปยังจุดจัดงาน เมื่อไปถึงผมเห็นเจ้า Street Twin จอดเรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ ผมนี่อยากจะขึ้นคร่อมเจ้า Street Twin ที่อยู่ตรงหน้าผม แล้วออกไปทำอะไรกับมันก็ได้ ณ เวลานั้นเลยครับ แต่ทำได้แค่เพียงเดินชมรอบๆ ตัวรถอย่างรีบเร่ง เพราะทางทีมงานแจ้งว่าต้องเส้นทางการขับขี่ของวันนี้เสียก่อน "ต้องบริ๊ฟเส้นทางด้วยหรอ ?" ในใจผมคิดว่าแค่มาขี่วนไปวนมา รอบๆ กรวย ในที่โล่งๆ แค่นั้น...แต่ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เลย เพราะทาง Triumph จะให้เราทดลองขี่แบบถึงกึ๋น เอาให้รู้กันไปเลยว่า ของเค้าดีจริงมั้ย เอ๊ะ...แล้วจะไปไหนกัน ? หึหึ...หลังจากใช้เวลาในการบริ๊ฟเส้นทางที่ผมจะต้องขี่เจ้า Street Twin วันนี้ พอได้ทราบเส้นทางแล้ว ผมถึงกับอยากจะเบิกเงินบอสผมเพื่อซื้อเสื้อหนัง รองเท้าซิ่งๆ สักคู่นึง เพราะเส้นทางในวันนี้ คือ ขาไปจากเชียงใหม่-เชียงราย*-เชียงใหม่ เส้นทางวันนี้สนุกแน่นอนครับ เป็นทางขึ้น-ลงเขา ซึ่งจะได้ใช้สมรรถนะของรถอย่างเต็มที่ อีกทั้งได้เค้นประสิทธิภาพของระบบเบรค ช่วงล่าง เครื่องยนต์ ไปในเวลาเดียวกันด้วย

 
 
 
เรือนไมล์สไตล์คลาสสิค พร้อมหน้าจอที่บอกค่าต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย
 
เครื่องยนต์ 2 สูบเรียง บล็อคล่าสุด ระบายความร้อนด้วยน้ำ และทรงพลังอย่าบอกใคร

 

            ออกไปซิ่งกันเลย...หมวก ถุงมือ เสื้อคลุม พร้อมออกซิ่ง เวลาที่ผมรอคอยก็มาถึง ผมมีเวลาและสติ ที่ได้เดินชมตัวรถรอบๆ อย่างละเอียดอีกครั้ง สวยมากกก คือ คำแรกที่คิดออก...ทั้งงานประกอบ วัสดุที่ใช้ ดีไซตัวรถที่ออกแนว โมเดิร์นคลาสสิค มีความลงตัวมากๆ สีของรุ่นนี้มีถึง 5 สีด้วยกัน คือ สีแดง Cranberry Red แต่งแถบที่ถังน้ำมันและขอบล้อ, สีเงิน Aluminum Silver แต่งแถบที่ถังน้ำมันและขอบล้อ, สีดำ Matt Black (ดำด้าน), สีดำ Jet Black (ดำเงา), สีดำ PhantomBlack (ดำเงาเมทัลลิค) ซึ่งสีแต่ละสีล้วนแล้วแต่ทำให้รถรุ่นนี้มีความสวยงามร่วมสมัยมากยิ่งขึ้นไปอีก การออกแบบตัวรถดูลงตัวระหว่างความคลาสสิคและโมเดิร์น เรือนไมล์ทรงกลมออกแบบง่ายๆ แต่ให้ลายละเอียดในการแสดงผลของค่าต่างๆ ได้ครบถ้วน เช่น มาตรวัดความเร็ว ระดับน้ำมัน ตำแหน่งเกียร์ ระยะทางรวม และไฟสัญญาณอิเลคทรอนิคต่างๆ ชุดคอลโทรลสวิตช์ซ้าย-ขวาสามารถใช้งานได้อย่างง่ายดายแค่ปลายนิ้วสัมผัส ไฟหน้าเรียบง่ายทรงกลมมีสัญลักษณ์ Triumph ตรงจุดรีเฟล็คด้านใน ถังน้ำมันออกแบบให้มีขนาดเล็กลงกว่ารุ่นก่อนๆ โดยสามารถจุน้ำมันเชื้อเพลิงได้ 12 ลิตร เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังสีดำรูปทรงสวยงาม ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว มาพร้อมกับยาง Pirelli ดิสเบรคหน้าฝั่งเดียวและดิสเบรคหลัง มาพร้อมระบบ ABS เครื่องยนต์ภายนอกดูเรียบร้อยประณีต สะอาดตา ผมมองแทบไม่เห็นชุดสายไฟแม้แต่เส้นเดียว ฝาครอบเครื่องทั้งสองฝั่งทำสีดำออกด้านตัดกับแชสซีส์รถที่ทำจากเหล็กสีดำเงา ซึ่งถูกออกแบบและพัฒนาเป็นพิเศษสำหรับ Bonneville ในแต่ละรุ่น โช้คอัพหน้า-หลังทรงโมเดิร์นคลาสสิคมีการปรับปรุงใหม่หมด เพื่อรองรับการใช้งานได้ทุกรูปแบบ  ไฟท้ายทรงรีไม่ใหญ่เทอะทะแต่เห็นได้อย่างชัดเจนด้วยการเลือกใช้หลอดแบบ LED ที่เข้ากับยุคสมัย

 

 จะโค้งน้อย โค้งใหญ่ ไม่ใช่ปัญหาสำหรับ Triumph Street Twin
 

          ทันทีที่ผมได้รับกุญแจ ผมเลื่อนปุ่มสตาร์ททางด้านขวามือลง 1 จังหวะ และกดลงค้างเพื่อให้เครื่องยนต์ติด แต่... เงียบ ! เครื่องไม่ยอมติดให้ผมอ่ะ ! ผมงง อยู่แป๊บนึง จนมีพี่ทีมงานเข้ามาสอนวิธีสตาร์ทเครื่องให้ผมครับ คือ ต้องบีบครัทช์พร้อมกับกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์จึงสามารถติดได้ โอเค...เครื่องติดแล้ว เสียงการทำงานภายในเครื่องยนต์เงียบมาก เงียบจริงๆ ไม่มีเสียงก๊อกแก๊กอะไรออกมาให้ได้ยินเลย จะมีก็เสียงไอเสียทุ้มๆ ที่ไหลออกจากปลายท่อทรงสวยพอให้ได้อารมณ์การขับขี่ เมื่อจัดการปรับกระจกมองหลังทรงกลมที่มองเห็นได้ง่าย  จัดเตรียมท่าทางการนั่ง (ที่ค่อนข้างสบายมาก) ให้ชินกับตัวรถ ก็เริ่มออกเดินทางกันได้เลย ช่วงแรกๆ เป็นการขี่ผ่านตัวเมืองที่มีรถค่อนข้างเยอะ ผมค่อยๆทำความรู้จักกับเครื่องยนต์ 900 ซีซี. ตัวใหม่ ซึ่งทาง Triumph ได้พัฒนาให้มีแรงบิดสูงขึ้นกว่ารุ่นเก่าถึง 18% โดยอยู่ที่ 80 นิวตัน-เมตร ที่รอบเครื่องต่ำเพียง 3,200 รอบ/นาที และมีแรงม้าถึง 55 ตัว ที่ 5,900 รอบ/นาที สั่งงานผ่านคันเร่งไฟฟ้าซึ่งตอบสนองได้ดีมากไม่มีอาการหน่วง ผมลองบิดกระแทกคันเร่งแบบปิดสุด เปิดสุดอยู่หลายครั้ง ไม่รู้สึกถึงอาการดีเลย์ของคันเร่งเลย ขบวนรถของเราเริ่มขี่ผ่านสายตาฝูงชนที่จับจ้องมาที่ Triumph Street Twin จนทำให้ผมถึงกับเขินเลยทีเดียว “เอิ่มมม...เค้ามองรถครับ ไม่ได้มองคน”

 

น้ำหนักเบา ตำแหน่งการนั่งเยี่ยม ส่งผลให้คุมรถได้อย่างเชื่องมือ
 

          ผมขี่ตามขบวนซึ่งมี Staff ของทาง Triumph ความเร็วที่ใช้ก็ชิลๆ ประมาณ 90-100 กม./ชม. ผมหาเกียร์ 6 อยู่นานครับ ไม่มีๆ เจ้า Street Twin มี 5 เกียร์ครับ เอ่อรู้สึกแปลกๆ ไปหน่อย ส่วนระบบกันสะเทือนหน้า-หลัง ของ Street Twin ผสานกับเบาะนั่งที่ทำให้นุ่ม จนทำให้ผมอยากหาหมอนกับผ้าห่มสักผืนมานอนเลย ช่วงล่างนิ่ม นุ่ม สบายมากๆ สามารถพาเราทะยานผ่านหลุมเล็ก-ใหญ่ หรือรอยต่อของถนน ไปได้อย่างนุ่มนวล แต่ก็ไม่ถึงกับยวบยาบมากจนเกินไปนัก ขี่มาได้ระยะหนึ่ง ผมสังเกตป้ายจราจรข้างทางเริ่มมีป้ายแจ้งเตือนทางโค้งซ้าย-ขวา โค้งอันตราย ใช่แล้วครับเราถึงเส้นทางที่เริ่มเหมาะกับการเค้นสมรรถนะของรถมากขึ้น เพราะเป็นทางขึ้นเขาบวกกับทางที่คดเคี้ยวตามสันเขา  ผมเริ่มยืดเส้นยืดสายโดยการส่ายรถไปมาเพื่อให้ยางมีอุณหภูมิที่เหมาะกับการขี่ในทางโค้งมากขึ้น จัดไปครับ !!! เราขี่อยู่บนเขาที่มีทางคดเคี้ยวร่วมๆ 100 กม. บางโค้งเป็นโค้งกว้างที่สามารถใช้ความเร็วได้ถึง 130 กม./ชม. หน้ารถนิ่งมากครับ ด้านท้ายก็เช่นกัน ด้วยการปรับปรุงช่วงล่างใหม่ทั้งหมด ทำให้รถนั้นไม่อาการดิ้นระหว่างขี่ผ่านโค้งยาวๆ ด้วยความเร็วสูงเลยแม้แต่น้อย ตัวรถควบคุมค่อนข้างง่าย แฮนด์บาร์ที่มีความกว้างกำลังดี ทำให้ผมมีแรงที่จะดึงรถให้เอียงซ้าย เอียงขวา เพื่อผ่านตามโค้งต่างๆ ไปได้แบบสบายๆ ที่พักเท้าอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ไม่เยื้องไปด้านหน้าหรือหลังจนเกินไป เบาะนั่งมีพื้นที่ให้ผู้ขี่ขยับตัวได้ส่วนในโค้งแคบๆ ด้วยน้ำหนักรถเพียง 198 กิโลกรัม ทำให้ผมไม่รู้สึกเหนื่อยที่จะพาเจ้า Street Twin คันนี้ ขี่ผ่านโค้งแคบๆ ติดต่อกันหลายๆ โค้งเลย คันเร่งไฟฟ้าทำงานได้สมูทดีขณะที่บางโค้งต้องลดเกียร์ลงเพื่อให้เครื่องมีกำลังที่จะส่งต่อไปยังอีกโค้ง ระบบ Slip Assist Clutch เข้ามาช่วยไม่ให้ล้อหลังผมล็อคอยู่หลายครั้งครับ ขณะที่ผมต้องเปิดคันเร่งเพื่อให้รถผ่านโค้งแคบๆ ไปนั้น เอี๊ยดดด !!! อยู่ดีๆ ท้ายรถมีอาการลื่นซะงั้น ตอนนั้นผมถึงกับคำนวณเงินในกระเป๋าว่ามีเท่าไหร่ ถ้าผมพารถเค้าลงไปกินหญ้าข้างทางผมคงต้องซื้อเจ้าคันนี้ไว้ใช้เองแน่ๆ แต่โชคดีที่รถคันนี้ มีระบบ Traction Control ป้องกันล้อหมุนฟรีขณะเจอสภาพถนนที่ลื่น (สามารถปิดระบบนี้ได้ ถ้าคุณอยากเกรียน) พอระบบเข้ามาช่วยเหลือ กำลังเครื่องยนต์ถูกตัดออกอย่างรวดเร็ว ท้ายรถกับเข้ามาอยู่ในตำแหน่งปกติทันที มันดีอย่างนี้นี่เอง ทำให้ผมไม่ต้องมีรถสวยๆ อีกคันไปจอดอยู่ที่บ้าน ระบบเบรกของ Street Twin ทำได้อย่างลงตัว นุ่มนวลไม่ว่าจะใช้ความเร็วสูงหรือต่ำ ระบบ ABS ป้องกันล้อล็อคตายทั้งหน้า-หลัง ขณะเบรกกะทันหันทำงานได้ดีมาก

 

สาดแรงแค่ไหน ก็ไม่กลัวหลุด

 

          โช้คอัพหน้า-หลัง ที่ผมได้กล่าวไว้ช่วงแรกว่ามันนุ่ม นิ่ม มากๆ นั้น ทำงานได้ดีในทางโค้ง ไม่ว่าจะมีหลุมหรือพื้นที่ขรุขระ ระหว่างที่สาดโค้งเข้าไปนั้น รถไม่มีอาการดิ้นหรือชก แม้แต่นิดเดียว ช่วงล่างของเจ้า Street Twin เอาคะแนนผมไปเต็ม 100 เลยครับ มีบางช่วงของเส้นทางเป็นทางตรงยาวๆ ประมาณ 3 กิโลเมตร เหมาะแก่การหา Top Speed ของเจ้า Street Twin เป็นอย่างยิ่ง ตอนนั้นผมอยู่ที่เกียร์ 5 ความเร็วประมาณ 120 กม./ชม. ซึ่งเป็นความเร็วที่เหมาะสมกับการเดินทาง เสียงของเครื่องยนต์กำลังดี ผมไม่รู้ว่าใช้รอบเครื่องยนต์อยู่ที่เท่าไหร่ (ไม่มีมาตรวัดรอบเครื่อง) แต่มันทำให้รู้ว่าเจ้า Street Twin เหมาะกับการท่องเที่ยวหรือออกทริปไปต่างจังหวัดเหมือนกันนะ หึ่มมม...ผมกระแทกเปิดคันเร่งสุดทันทีในเกียร์ 5 เสียงเครื่องคำรามขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยแรงบิดที่เยอะและมาเร็วในรอบต่ำ ทำให้ความเร็วจาก 120 กม./ชม. เพิ่มขึ้นไปถึง 160 กม./ชม. แค่ไม่กี่วินาที คุณพระ !!! แรงนะเนี่ย ผมต้องลดตำแหน่งของศรีษะลงมาให้ต่ำ เกือบติดกับถังน้ำมันเลยทีเดียว เพราะรถสไตส์นี้ ไม่มีชิลด์หน้าเพื่อกันลมประทะขณะความเร็วสูง แต่เพื่อหา Top Speed  ผมลากเกียร์ 5 ต่อไปจนความเร็วไปแตะอยู่ที่เกือบๆ 190 กม./ชม. เยี่ยมเลยครับ Top speed เกือบๆ 190 กม./ชม. แต่ก็อีกนั่นแหละครับเป็นความเกรียนส่วนตัวของผมเองที่อยากรู้ Top speed ของรถคันนี้ เพราะผู้ที่หลงใหลในรถสไตส์นี้ คงไม่มีใครเรียกร้อง หรือต้องการจะใช้ความเร็วขนาดนี้เป็นแน่ ส่วนในขากลับคณะต้องฝ่าการจราจรในช่วงเย็นของจังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวนรถค่อนข้างมาก ทำให้เราได้ทดลองการใช้งานขณะรถติด หรือการใช้งานในเมืองกันจริงๆ การซอกแซกของตัวรถทำได้อย่างคล่องตัว ด้วยขนาดที่กะทัดรัดและแฮนด์บาร์ที่ไม่ได้กล้าวเกินความจำเป็น ส่วนการระบายความร้อนของเครื่องยนต์ทำได้ดีมาก ขณะจอดติดไฟแดงอยู่นิ่งๆ มีไอร้อนกระจายออกมาบ้างขณะพัดลมฟ้าทำงานเพื่อดึงความร้อนออกจากหม้อน้ำ แต่ก็ไม่ทำผมรู้สึกร้อนที่ขาแต่อย่างใดครับ สภาพร่างกายผมที่ขี่รถคันนี้มาทั้งวันในระยะทางกว่า 300 กม. ยังไม่รู้สึกว่าเหนื่อยล้ามากนัก

 

            

          สรุป...เจ้า Triumph Street Twin เหมาะกับผู้ขี่ทั้งใหม่และเก่าครับ ด้วยเครื่องยนต์อันทรงพลังขนาด 900 ซีซี. 2 สูบเรียงระบายความร้อนด้วยน้ำ มีแรงม้าถึง 55 ตัว แรงบิดสูงถึง 80 นิวตัน-เมตร สั่งงานผ่านคันเร่งไฟฟ้าที่สมูททุกรอบเครื่องยนต์ พร้อมตัวช่วยมากมาย ทำให้ผู้ใช้งานมือใหม่สามารถขี่เจ้านี่ได้โดยไม่ยากเย็นนัก โครงรถ + ช่วงล่างเอาใจผมไปเต็ม 100 ควบคุมรถง่าย ยามที่ใช้ความเร็วสูง หรือทางโค้งเจ้า Street Twin เอาซะอยู่หมัด แถมยังถูกใจวัยรุ่นด้วยรูปทรงรถที่เน้นความโมเดิร์นคลาสสิค ที่คลอดออกมาจากโรงงานก็หล่อจนสาวๆ พากันมองไปแถวแล้ว แต่ทาง Triumph ก็ได้เตรียมรับมือกับขาซิ่งไว้แล้ว โดยมีการเตรียมอุปกรณ์ตกแต่งเจ้า Street Twin ไว้ให้เลือกกันถึง 160 รายการ เช่น ท่อไอเสียจากสำนัก Vance & Hines, เบาะนั่ง,  กระจกหน้า, ชุดบังโคลนหลัง, แฮนด์แบบ ACE และไฟเลี้ยวขนาดเล็กทรงหัวกระสุน ทำให้เราแปลงโฉมเจ้า Street Twin ให้เป็นสไตส์คุณได้อย่างง่ายดาย เช่น แนว Scrambler, Brat Tracker, Urban Inspiration กับราคาที่เปิดตัวออกมาเพียง 390,000 บาท ท่านใดที่กำลังมองหารถที่สามารถตอบโจทย์  Lifestyle ที่เป็นตัวตนของคุณเอง ใช้งานได้หลากหลาย ผมว่า Triumph Street Twin  เป็นอีกตัวเลือกหนึ่ง ที่จะทำให้คุณหลงรักมันไปอีกนานครับ

 

TRIUMPH FOR THE RIDE

ขอขอบคุณ Triumph Motorcycles Thailand 

 

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook