เขียนโดย: Piapiano

เมื่อ: 5 มิถุนายน 2563 - 17:19

Yamaha R-Series มาทำความรู้จักกับตระกูลสายพันธุ์สปอร์ตไบค์ที่ทั้งโลกต่างให้การยอมรับ

 

          ถ้ากล่าวถึงรถสปอร์ตไบค์ที่ครองใจไบค์เกอร์มานานนับทศวรรษ ด้วยเอกลักษณ์ของทรวดทรงพร้อมขุมพลังที่บ่งบอกถึงจิตวิญญาณที่แท้จริงของสายพันธุ์ กับ Yamaha R-Series ที่ครองใจไบค์เกอร์มาแล้วนับไม่ถ้วน ในครั้งนี้ BoxzaRacing จะมาเล่าถึงประวัติพอสังเขปตั้งแต่โฉมแรกของพี่ใหญ่ในตระกูลอย่าง Yamaha YZF-R1 ไปจนถึงน้องเล็กสุด Yamaha YZF-R15 ว่าทำไมถึงเป็นตระกูลสปอร์ตไบค์ที่ใครๆก็อยากเป็นเจ้าของ

 

Yamaha YZF-R15 2014-2016 / Yamaha YZF-R15 2017-2020

Yamaha YZF-R15 2014-2016

 

Yamaha YZF-R15 2017-2020

 

          เริ่มเปิดตำนาน R Series กันที่น้องเล็กสุดในตระกูลกับ Yamaha YZF-R15 สปอร์ตไบค์สุดหล่อพิกัด 150 ซีซี. ที่เปิดตัวครั้งแรกในเมืองไทยเมื่อปี 2014 โดยเรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งตัวยงของเจ้าตลาดเลยก็ว่าได้...ซึ่งในตอนนั้นต้องขอบอกเลยว่า Yamaha YZF-R15 โมเดลแรกเป็นสปอร์ตไบค์ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ด้วยรูปทรงที่มีความผสมผสานจากรุ่นพี่ใหญ่อย่าง Yamaha YZF-R1 และ Yamaha YZF-R6 โดยเฉพาะท้ายดีไซน์แหลมโด่งให้ความสปอร์ตมากกว่าคู่แข่ง พร้อมท่านั่งที่ให้ความรู้สึกหมอบเต็มอารมณ์แบบรถสปอร์ตอย่างแท้จริง

 

 

          จนกระทั่งโมเดลปี 2014 ได้ทำตลาดมาจนถึงปี 2016 ที่มีการตอบรับจากไบค์เกอร์ทุกเพศทุกวัย จนขายดิบขายดีกันแบบเทน้ำเทท่ากันเลยทีเดียว และไม่นาน Yamaha จึงได้เปิดตัว YZF-R15 โมเดลใหม่ในปี 2017 ที่มีความสปอร์ตยิ่งขึ้น หล่อยิ่งขึ้น...โดยในครั้งนี้แทบจะพูดได้เต็มปากเลยว่า ถอดแบบจากพี่ใหญ่ที่เป็นโมเดลใหม่ล่าสุดอย่าง YZF-R1 และ YZF-R6 ออกมาได้อย่างชัดเจนยิ่งกว่าโมเดลที่แล้วเสียอีกไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์สุดหล่อที่ให้อารมณ์ซูเปอร์สปอร์ตแบบเต็มขั้น และอีกหนึ่งจุดเด่นคือเรือนไมล์รูปแบบใหม่แบบ Full LCD Digital Meter กับมุมมองซูเปอร์สปอร์ตอย่างแท้จริง พร้อมกับบล็อคเครื่องยนต์ใหม่ขนาด 155 ซีซี. พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVA อันเลื่องชื่อของ Yamaha ที่จะทำให้พละกำลังรถจัดจ้านตั้งแต่รอบต่ำจนถึงรอบสูง รวมไปถึง Assist & Slipper Clutch ที่จะช่วยลดแรงกระชากของล้อหลังเมื่อเชนจ์เกียร์จากเกียร์สูงลงสู่เกียร์ต่ำ ที่เรียกได้ว่าโดนใจสายสปอร์ตไม่น้อย ถือว่าเป็นจุดเด่นของเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาสู่เครื่องยนต์ในคลาส 150 ซีซี. ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

 

          ตามด้วยช่วงล่างอัพเกรดใหม่ไม่ว่่าจะเป็นโช้คหน้า Up Side Down รวมไปถึงสวิงอาร์มดีไซน์ใหม่ (New Design Alluminium Rear Arm) และล้อแม็กดีไซน์ใหม่ที่เพิ่มรายละเอียดให้ดูแม็ทช์กับสรีระรูปลักษณ์ที่มีความเป็นสปอร์ตไบค์อย่างเต็มตัว รัดด้วยยางเรเดียลขนาดใหญ่ (Super Wide Tire) โดยยางหน้ามีขนาด 100/80-R17 และยางหลังขนาด 140/70R17 เพิ่มพื้นที่หน้ายางที่จะทำให้การสัมผัสพื้นถนนในยามเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ พร้อมกับสมรรถนะระบบเบรกที่โดดเด่นไม่เป็นรองใครกับดิสก์เบรกหน้าขนาดใหญ่ 282 มม. (Big Size Disc Brake) เพื่อความมั่นใจในการหยุดรถทุกสถานการณ์ โดยภาพรวมแล้วไม่น่าแปลกใจเลยครับที่ Yamaha YZF-R15 คือรถสปอร์ตไบค์ขวัญใจวัยรุ่นในยุคนี้ โดยการันตีจากยอดขายและผู้ใช้งานบนท้องถนนที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนใครๆก็รัก R15 จนได้รับการขนานนามว่าสปอร์ตไบค์เล็กพริกขี้หนูกันเลยทีเดียวครับ

 

Yamaha YZF-R3 2015-2018 / Yamaha YZF-R3 2019

Yamaha YZF-R3 2015-2017

 

Yamaha YZF-R3 2018

 

          ต่อด้วยน้องรองสุดท้องในตระกูลอย่าง Yamaha YZF-R3 สปอร์ตไบค์ Entry Class รูปลักษณ์สุดโฉบเฉี่ยว ที่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2015 และทำเอาไบค์เกอร์หลายๆคนในตอนนั้นต้องร้องว้าวกับขุมพลังเครื่องยนต์ที่ให้มาเกินชาวบ้านชาวช่องในพิกัดเดียวกันเลยทีเดียว...กับบล็อคเครื่องยนต์ 2 ลูกสูบเรียง ขนาด 321 ซีซี. 4 จังหวะ DOHC 4 วาล์วต่อสูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้พละกำลังสูงสุด 42 แรงม้า ที่ 10,750 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 29.6 นิวตัน-เมตร ที่ 9000 รอบต่อนาที และเป็นสปอร์ตไบค์คลาส Under 400 ในตลาดเมืองไทยคันแรกที่มีลูกเล่นโดนใจไบค์เกอร์ด้วยการติดตั้งชิพไลท์มาให้จากโรงงาน...

 

 

          ต่อมาในปี 2019 Yamaha YZF-R3 ได้ทำการเปิดตัวโมเดลใหม่อีกครั้ง โดยครั้งนี้ได้เพิ่มความสปอร์ตเข้าไปอีกด้วยหน้าตาดีไซน์ใหม่คล้ายคลึงกับรุ่นพี่ใหญ่อย่าง Yamaha YZF-R1 ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ใหม่โดยเฉพาะชุดแฟริ่งด้านหน้าที่ให้อารมณ์สปอร์ตไบค์ Full Fairing มากขึ้น ตามด้วยไฟหน้า Full LED Headlight สุดล้ำยุค รวมไปถึงชุดเรือนไมล์แบบ Full LCD ที่มีความคล้ายคลึงกับ Yamaha MT-10 สื่ออารมณ์ความล้ำยุคในคลาสพิกัด 300 ซีซี.ได้อย่างเหนือชั้น และชุดสวิตช์สตาร์ทรูปแบบใหม่พร้อมกับแผงคอ Handle Crown ดีไซน์ซูเปอร์สปอร์ตให้ความแข็งแรง และลดน้ำหนักได้มากขึ้น พร้อมเสริมความสปอร์ตขึ้นไปอีกขั้นเพื่อเหนือกว่าคู่แข่งด้วยการติดตั้งโช้คหน้า Up Side Down มาให้ เรียกเอาเสียงฮือจากไบค์เกอร์ไม่เบา แถมน้ำหนักตัวรถจากเดิมในโมเดลก่อนหน้าอยู่ที่ 170 กิโลกรัม แต่โมเดลล่าสุดจากการจัดวางองค์ประกอบตัวรถใหม่ทำให้น้ำหนักลดลงเหลือ 167 กิโลกรัม ก็ถือได้ว่าโดนใจไม่เบาสำหรับใครที่กำลังอยากเริ่มขี่แนวสปอร์ตเป็นคันแรก ที่ต้องขอแนะนำเลยครับว่า Yamaha YZF-R3 เฟี้ยวแน่นอนครับ

 

Yamaha YZF-R6 

Yamaha YZF-R6 1999-2016

 

Yamaha YZF-R6 2017-2020

 

          ถึงคิวของน้องชายสุดหล่อสายเลือดซูเปอร์สปอร์ตสุดจี๊ด กับความเฟี้ยวกระชากใจไบค์เกอร์มาแล้วนับไม่ถ้วนกับ Yamaha YZF-R6 ที่มีประวัติตั้งแต่ปี 1999 ไม่แพ้พี่ใหญ่เลยทีเดียว...และต่อไปเราจะมาเล่าถึงเรื่องราวของเจ้า YZF-R6 กันว่าทำไมถึงเป็นหนึ่งในซูเปอร์สปอร์ตที่ไบค์เกอร์ต่างอยากลองสัมผัสสักครั้ง

 

Yamaha YZF-R6 1999-2002

Yamaha YZF-R6 1999-2002

 

Yamaha YZF600

 

          ย้อนกลับไปเมื่อปี 1999 นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งของคลาส 600 ค่าย Yamaha ซึ่งจากเดิมก่อนหน้า ที่จะกำเนิด Yamaha YZF-R6 ขึ้นมา Yamaha ได้สร้างรุ่น YZF600 ขึ้นมาในปี 1996 ที่มีรูปทรงยังเป็นกึ่งสปอร์ตทัวร์ริ่งและอีก 3 ปีต่อมาก็ได้ให้กำเนิด Yamaha YZF-R6 ที่มาในรูปแบบซูเปอร์สปอร์ตเต็มตัวพร้อมบล็อคเครื่องยนต์ใหม่ 4 ลูกสูบ 599 ซีซี. DOHC 16 วาล์ว จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยคาร์บูเรเตอร์ ให้พละกำลังสูงสุด 120 แรงม้าที่ 13,000 รอบต่อนาที และมีแรงบิดสูงสุด 68 นิวตันเมตรที่ 11,500 รอบต่อนาที โดยแบกน้ำหนักตัวรถไว้ที่ 192 กิโลกรัม ซึ่งในยุคนั้นถือว่า Yamaha YZF-R6 เป็นซูเปอร์สปอร์ตที่มีน้ำหนักเบาและมีพละกำลังที่จัดจ้านกว่ารุ่นอื่นในพิกัดเดียวกันเลยทีเดียว

 

Yamaha YZF-R6 2003-2005

 

Yamaha YZF-R6 2003-2005

 

Yamaha YZF-R6 2003-2005

 

          เมื่อการเปิดตัว Yamaha YZF-R6 โฉมแรกในช่วงปี 1999-2002 Yamaha ได้ทำการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและเปิดตัวโฉมใหม่ขึ้นในปี 2003 โดยมีการปรับรูปลักษณ์ใหม่ให้มีความสปอร์ตยิ่งขึ้นรวมไปถึงประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ที่ได้เปลี่ยนจากคาร์บูเรเตอร์เป็นหัวฉีด และมีการปรับจูนภายในเครื่องยนต์ให้มีพละกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 123 แรงม้า พร้อมกับอัพเกรดระบบเบรกจากเดิมที่เป็น Axial Mount มาเป็น Radial Mount แบบรุ่นพี่ใหญ่อย่าง Yamaha YZF-R1

 

Yamaha YZF-R6 2006-2016

Yamaha YZF-R6 2006-2009

 

Yamaha YZF-R6 2006-2009

 

Yamaha YZF-R6 2010-2016

 

Yamaha YZF-R6 2010-2016

 

          มาถึงโฉมที่เรียกได้ว่าเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างมากสำหรับชื่อ YZF-R6 กับการปรับโฉมอีกครั้งจนเรียกได้ว่ามีความทันสมัยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยการปรับโฉมโมเดลนี้ของ Yamaha YZF-R6 ทาง Yamaha ได้เน้นในเรื่องของ Aerodynamic อย่างเต็มที่เพื่อให้การแหวกของตัวรถทำออกมาได้ดีที่สุด ตามด้วยการอัพเกรดเครื่องยนต์ด้วยการติดตั้งระบบ YCC-I หรือ Yamaha Chip Controlled Intake พร้อมกับปรับจูนภายในเพิ่มอีกทำให้มีรอบเครื่องยนต์ที่สูงถึง 17,500 รอบต่อนาที และสามารถรีดพละกำลังแรงม้าได้สูงสุดถึง 129 แรงม้า เลยทีเดียว...พอมาถึงช่วงปี 2010 Yamaha YZF-R6 ได้มีการปรับเล็กน้อยที่เรียกว่าเป็นไมเนอร์เชนจ์ก็ว่าได้ ด้วยการปรับเปลี่ยนโทนสีเพื่อเพิ่มความสปอร์ตมากขึ้น รวมไปถึงการตัดทอนพละกำลังลงให้เหลือเพียง 124 แรงม้า และดีไซน์ท่อไอเสียใหม่ให้ยาวขึ้นทำให้ตัวรถมีแรงบิดที่มากขึ้นกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้ทาง Yamaha ต้องการให้ YZF-R6 เป็นซูเปอร์สปอร์ตที่สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้ในระดับนึง เนื่องจากในโมเดลนี้ YZF-R6 ถือว่าเป็นโมเดลที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากและเป็นโมเดลที่อยู่นานที่สุด การีนตีถึงคุณภาพจริงๆครับ

 

Yamaha YZF-R6 2017-2020

 

 

          ในปี 2017 หนึ่งในกระแสรถใหม่ที่เรียกได้ว่าฮอตสุดๆอีกหนึ่งรุ่นคงจะต้องยกให้ Yamaha YZF-R6 โมเดลใหม่ล่าสุดกันเลยทีเดียว กับการปรับเปลี่ยนโฉมใหม่หมดตามรอยพี่ใหญ่อย่าง Yamaha YZF-R1 เรียกได้ว่าโมเดล 2017 ที่เป็นโมเดลเชนจ์ครั้งนี้ได้จัดเต็มสมรรถนะมาเลยทีเดียวทั้งในด้านเครื่องยนต์ที่ใช้วัสดุพิเศษเพื่อความทนทานในรอบสูง และระบบช่วยเหลือในการขับขี่ต่างๆเช่น โหมดสำหรับการขับขี่ที่มีถึง 3 โหมด คือ A , STD และ B ตามด้วย Traction Control รวมไปถึง Quick Shifter ที่รถซูเปอร์สปอร์ตต้องมีไว้ จึงกล้าเรียกได้เต็มปากว่า Yamaha YZF-R6 คือซูเปอร์สปอร์ตยอดฮิตของศักราชนี้เลยครับ

 

Yamaha YZF-R1 1998-2003

Yamaha YZF-R1 1998-1999

 

Yamaha YZF-R1 2000-2003

 

          มาปิดท้ายกันที่พี่ใหญ่สุดในตระกูลอย่าง Yamaha YZF-R1 โดยถือกำเนิดขึ้นโฉมแรกในปี 1998 เพื่อต่อกลอนกับคู่แข่งในยุคนั้น เรียกได้ว่าในช่วงปี 1998 Yamaha YZF-R1 เป็นหนึ่งในรถสปอร์ตไบค์ที่มีขุมพลังถึง 1,000 ซีซี. เพียงไม่กี่รุ่นเลยก็ว่าได้ กับบล็อคเครื่องยนต์ Genesis ขนาด 998 ซีซี. 4 ลูกสูบ DOHC 5 วาล์วต่อลูกสูบ จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยคาบูเรเตอร์ Mikuni ให้พละกำลังสูงสุด 148.8 แรงม้าที่ 10,000 รอบต่อนาที และแบกน้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 192 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าน้ำหนักประมาณนี้กำลังดีสำหรับสปอร์ตไบค์ไซส์บิ๊ก โดยเกิดจากความโดดเด่นของเฟรม Aluminium DeltaBox อันเลื่องชื่อของ Yamaha ต่อมาในช่วงปี 2000-2003 YZF-R1 ได้มีการปรับโฉมเล็กน้อยในส่วนของภาพลักษณ์และรูปทรงให้ดีขึ้นในเรื่องของ Aerodynamic พร้อมกับปรับตำแหน่งท่านั่งใหม่ให้ผู้ขับขี่กระชับเข้ากับตัวรถ...รวมไปถึงการอัพเกรดขุมพลังให้แรงขึ้น ทนทานขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพต่างๆของเฟรมให้มีความแข็งแรง กระจายน้ำหนักได้ดีกว่าเดิม

 

Yamaha YZF-R1 2004-2006

Yamaha YZF-R1 2004-2006

 

Yamaha YZF-R1 2004-2006

 

          มาถึงปี 2004-2006 Yamaha YZF-R1 ได้มีการเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่แบบที่เรียกได้เลยว่าหล่อกระชากใจเลยก็ว่าได้ กับเอกลักษณ์ที่ทำให้ไบค์เกอร์หลายๆคนจดจำคือการดีไซน์ตำแหน่งท่อไอเสียคู่ที่ติดตั้งไว้ใต้ซุ้มล้อ พร้อมกับโฉมหน้าใหม่รูปทรงใหม่ที่ให้ความสปอร์ตมากขึ้นเป็นกอง รวมไปถึงการเริ่มใช้สวิงอาร์มดีไซน์กลับด้านสุดเท่ ตามด้วยอัพเกรดขุมพลังเป็นระบบหัวฉีดและเพิ่มช่องแรมแอร์เข้าไป ทำให้ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์จัดจ้านขึ้น ไปจนถึงระบบเบรกที่อัพเกรดให้เป็นแบบ Radial Mount เพื่อตอบสนองการเบรกได้อย่างมั่นใจ

 

Yamaha YZF-R1 2007-2008

Yamaha YZF-R1 2007-2008

 

Yamaha YZF-R1 2007-2008

 

 

          ในปี 2007-2008 Yamaha YZF-R1 ได้มีการอัพเกรดอีกครั้งโดยเริ่มที่ภาพลักษณ์และรูปทรง ที่มีการดีไซน์ด้านหน้าใหม่ให้มีความโฉบเฉี่ยวด้วยไฟหน้าสุดเฉียบคมอันเป็นเอกลักษณ์ที่หลายๆคนจดจำ พร้อมกับแรมแอร์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ตามด้วยการอัพเกรดเฟรมใหม่เป็น Aluminium Deltabox V ที่ทำให้ตัวรถมีการกระจายน้ำหนักได้ดีมากกว่าเดิม ขยับลงมาที่ด้านล่างกับการอัพเกรดระบบเบรกโดยใช้เป็นปั๊มเบรก Radial Mount ขนาด 6 ลูกสูบควบคู่กับดิสก์เบรกขนาด 310 มม. เพื่อล็อคคอความแรงจากการเปลี่ยนใช้เครื่องยนต์บล็อคใหม่ที่มีการเริ่มใช้เทคโนโลยีจากรถแข่ง MotoGP กับขนาดความจุกระบอกสูบ 998 ซีซี. 4 ลูกสูบ DOHC 4 วาล์วต่อสูบ พร้อมระบบหัวฉีด YCC-T และ YCC-I ให้พละกำลังสูงสุด 180 แรงม้าที่ 12,500 รอบต่อนาที พร้อมสลิปเปอร์คลัทช์ที่จะทำให้การใช้คลัทช์นิ่มนวลขึ้น...ถือว่าเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ถ้าใครได้ควบ Yamaha YZF-R1 ความหล่อคงไม่ต้องบรรยายกันเลยทีเดียวครับ

 

Yamaha YZF-R1 2009-2014

Yamaha YZF-R1 2009-2011

 

Yamaha YZF-R1 2009-2011

 

          ปี 2009 เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของ Yamaha YZF-R1 เลยก็ว่าได้ กับการเปลี่ยนโฉมใหม่หมดโดยในปี 2009-2011 YZF-R1 ได้ดีไซน์รูปโฉมใหม่ให้มีความดุดันมากขึ้น จากเดิมที่ไฟหน้าเป็นไฟหน้า 4 ตาในโฉม 2007-2008 ได้ปรับเปลี่ยนเป็นไฟหน้าโปรเจคเตอร์คู่หน้าเพียวๆและย้ายช่องแรมแอร์มาไว้ในบริเวณไฟหน้าแถวด้านข้างดวงไฟโปรเจคเตอร์ ตามด้วยการออกแบบให้ตัวรถมีความกระทัดรัดเข้ามากขึ้นเพื่อทำให้การขับขี่คล่องตัวมากกว่าเดิม และสิ่งที่ยังคงอยู่เป็นเอกลักษณ์ให้เห็นอย่างเด่นชัดคือตำแหน่งท่อไอเสียคู่ที่ติดตั้งอยู่ใต้ซุ้มล้อแต่มีดีไซน์ใหม่เพื่อให้เข้ากับทรวดทรงของตัวรถที่กระชับมากกว่าเดิม และสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นจุดไคลแม็กซ์ของการเปลี่ยนแปลงในปี 2009 เลยก็ว่าได้ คือการเปลี่ยนใช้เครื่องยนต์บล็อคใหม่รูปแบบใหม่โดยถ่ายทอดมาจากรถแข่ง MotoGP อย่าง Yamaha YZR-M1 ที่ใช้ระบบเพลาข้อเหวี่ยง CrossPlane จุดระเบิดต่างกัน 270° จนทำให้เสียงเครื่องยนต์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจนทำให้ไบค์เกอร์หลายๆคนในยุคนั้นต่างก็เป็นที่แปลกหูกันเป็นว่าเล่นเลยทีเดียว และให้พละกำลังสูงสุดที่ 182 แรงม้าที่ 12,500 รอบต่อนาที พร้อมโหมดการขับขี่ 3 โหมด ไม่ว่าจะเป็นโหมด A ที่ให้พละกำลังสูงสุด , โหมด STD ที่ให้พละกำลังปานกลาง และโหมด B ที่ให้พละกำลังสมูธที่สุด สามารถเลือกใช้ตามความเหมาะสมของผู้ใช้งานครับ เรียกได้ว่าเริ่มเข้าสู่ยุคการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาติดตั้งเข้ากับตัวรถเพื่อให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นแล้วครับ

 

Yamaha YZF-R1 2012-2014

 

Yamaha YZF-R1 2012-2014

 

          ต่อมาในปี 2012-2014 Yamaha YZF-R1 ได้มีการปรับเปลี่ยนอีกเล็กน้อยด้วยการเพิ่มเติมความดุดันที่หน้าตาด้วยเพิ่มไฟ Day Time Running Light ที่บริเวณขอบไฟหน้า พร้อมกับตัดส่วนโค้งมนที่บริเวณคางใต้ไฟหน้าให้เป็นเหลี่ยมสัน เพื่อให้หน้าตามีความโหดและดุดันมากขึ้น ตามด้วยการเพิ่มระบบ Traction Control หรือระบบกันล้อสไลด์ที่จะทำงานเมื่อเซนเซอร์ตรวจจับการทำงานของล้อหน้าและล้อหลังหมุนไม่สัมพันธ์กัน เพื่อทำให้การขับขี่มั่นคงยิ่งกว่าเดิม และ Yamaha YZF-R1 ปี 2009-2014 ที่มีรูปโฉมเดียวกันเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเจเนเรชั่นยอดฮิตเลยก็ว่าได้

 

Yamaha YZF-R1 / R1M 2015-2019

Yamaha YZF-R1 2015-2017

 

Yamaha YZF-R1M 2015-2017

 

          และแล้วก็มาถึงโฉมที่เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือของ Yamaha YZF-R1 ในปี 2015 พร้อมกับรุ่นพิเศษสมรรถนะสูงโดยมีรหัสห้อยท้ายคือ Yamaha YZF-R1M ที่ได้รับการถอดแบบมาจากรถแข่ง MotoGP อย่าง Yamaha YZR-M1 โดยดีไซน์รูปลักษณ์ฉีกทั้งหมดจากรูปแบบเดิมที่มีหน้ายิ้มและท่อไอเสียใต้ซุ้มล้อ ให้กลายเป็นรถซูเปอร์ไบค์สุดล้ำยุคที่มีรูปร่างบึกบึนกำยำ พร้อมด้วยการติดตั้งเทคโนโลยีมาตรฐานมากมายที่จะเข้ามาช่วยในการขับขี่ทั้งในถนนและสนามแข่งไม่ว่าจะเป็น Traction Control , Anti-Wheelie Control , Slide Control ที่จะทำหน้าที่ควบคุมไม่ให้รถเสียอาการหรือล้อสไลด์ ตามด้วยระบบ Launch Control หรือระบบช่วยเหลือในการออกตัวและ ระบบ Quick Shifter ที่ผู้ขี่สามารถเข้าเกียร์โดยไม่ต้องกำคลัทช์หรือผ่อนคันเร่ง...เหนือชั้นขึ้นไปอีกด้วยระบบ IMU 6 แกนที่จะทำหน้าที่ประมวลผลการเคลื่อนไหวต่างๆของตัวรถอย่างแม่นยำซึ่งจะทำหน้าที่ร่วมกับระบบ Traction Control และ ABS ต่อมาในตัวของ Yamaha YZF-R1M ที่เป็นตัวท็อปสุดจะมีความพิเศษที่อธิบายได้ง่ายๆเลยคือแฟริ่งส่วนมากจะเป็นวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่จะมีผลในเรื่องของน้ำหนักที่เบาลง พร้อมกับโช้คอัพหน้า-หลัง Ohlins ไฟฟ้าที่สามารถปรับเซ็ตได้ตามสถานการณ์การใช้งานโดยระบบทั้งหมดจะแสดงผลผ่านทางหน้าจอรูปแบบใหม่ที่เป็นจอสีแสดงผลอย่างสวยงามและล้ำยุคหรือที่เรียกกันว่าจอ TFT

 

Yamaha YZF-R1 2018-2019

 

Yamaha YZF-R1M 2018-2019

 

          ตามด้วยเครื่องยนต์บล็อคใหม่ขุมพลัง CrossPlane CP4 พร้อมใช้วัสดุพิเศษภายในเครื่องยนต์ไม่ว่าจะเป็น ลูกสูบแบบ Forged Aluminum , เพลาข้อเหวี่ยงแบบ Titanium และวาล์ว โดยขนาดความจุกระบอกสูบอยู่ที่ 998 ซีซี. DOHC 4 วาล์วต่อสูบที่ใช้วัสดุ Titanium เช่นกัน และจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด YCC-T และ YCC-I ให้พละกำลังแรงม้าสูงสุด 200 แรงม้าที่ 13,000 รอบต่อนาที และมีแรงบิดสูงสุด 112.4 นิวตันเมตรที่ 11,500 รอบต่อนาที ควบคู่เทคโนโลยีมากมายที่ตอบโจทย์ให้กับผู้ที่รักความเร็วและความล้ำยุค จนทำให้ Yamaha YZF-R1 โฉมปี 2015 ขึ้นไป กลายเป็นซูเปอร์ไบค์ที่ใครๆก็ต่างหลงใหลของยุคนี้เลยทีเดียว

 

Yamaha YZF-R1 / R1M 2020

Yamaha YZF-R1 2020

 

Yamaha YZF-R1M 2020

 

           ล่าสุดเมื่อกลางปี 2019 ที่ผ่านมา Yamaha ได้ทำการเผยโฉม Yamaha YZF-R1 และ YZF-R1M ปี 2020 โดยยังใช้พื้นฐานเดิมจากโฉม 2015-2018 จะเรียกได้ว่าเป็นช่วงคาบเกี่ยวของการอัพเกรด Yamaha YZF-R1 โฉมที่คนไทยต่างให้ชื่อเล่นว่า กระเบน โดยในโฉมปี 2020 นั้น มีการอัพเกรดขุมพลังและระบบเทคโนโลยีเกือบทั้งหมด จนใครที่ได้สัมผัสต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเหมือนหนังคนละม้วนจากโมเดลที่แล้วเลยทีเดียว พร้อมกับรูปลักษณ์ใหม่ที่ปรับโฉมให้ถูกต้องตามหลักอากาศพลศาสตร์หรือ Aerodynamic ที่ดีขึ้นถึง 5.3% และหน้าตาถูกปรับโฉมให้มีความโฉบเฉี่ยวคล้ายน้องชายคันรองอย่าง Yamaha YZF-R6 ที่เพิ่มอารมณ์ความสปอร์ตขึ้นได้อีก ตามมาด้วยในส่วนของตัวท็อปอย่าง Yamaha YZF-R1M ที่มีการเปลี่ยนใช้แฟริ่งโดยให้เป็นวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์มากกว่าโมเดลที่แล้ว ทำให้มีผลในเรื่องของน้ำหนักตัวรถที่เบายิ่งกว่าเดิม

 

Yamaha YZF-R1 2020

 

Yamaha YZF-R1M 2020

 

          ในส่วนของขุมพลังและเทคโนโลยีนั้นยังเป็นบล็อคเดียวกันกับโมเดล 2015-2019 แต่ได้มีการอัพเกรดภายในให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในบล็อค Crossplane CP4 ขนาด 998 ซีซี. DOHC 4 วาล์วต่อสูบ ได้มีการเปลี่ยนหัวจากจาก Bosch จากเดิม 12 รู เป็น 10 รู รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนระบบกลไกภายในเครื่องยนต์ เพื่อให้หมนุทำงานในรอบสูงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น และเปลี่ยนมาใช้ระบบคันเร่งไฟฟ้า Ride By Wire ที่จะไปทำหน้าที่ควบคู่กับเทคโนโลยีที่ได้รับการอัพเกรดเข้ามาใหม่ไม่ว่าจะเป็นระบบ Engine Braking Control ที่สามารถปรับ-ลดความหน่วงของ Engine Brake ได้ถึง 3 ระดับ ตามด้วยระบบ Brake Control ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ควบคุมเบรกขณะเข้าโค้งที่สามารถปรับการตอบสนองได้ถึง 2 ระดับ โดยจะประมวลผลผ่านระบบ IMU 6 แกนอย่างแม่นยำซึ่งเรียกได้ว่าระบบนี้โดนใจสายสนามกันเลยทีเดียว และระบบที่โดนใจอีกหนึ่งตัวคือ Quick Shifter แบบ Up-Down ที่สามารถเข้าเกียร์และถอนเกียร์โดยที่ไม่ต้องกำคลัทช์ ทำให้การเปลี่ยนเกียร์สั่งได้ดั่งใจ และระบบทั้งหมดจะแสดงผลผ่านทางหน้าจอ TFT สุดล้ำ โดยสนนราคา ํYamaha YZF-R1 2020 อยู่ที่ 849,000 บาท และ Yamaha YZF-R1M 2020 อยู่ที่ 1,149,000 บาท

 

 

          และนี่ก็คือเรื่องราวของตระกูลรถสปอร์ตไบค์ที่ไบค์เกอร์ทั้งโลกไม่มีใครไม่รู้จัก...ด้วยการพัฒนามากว่า 2 ทศวรรษตั้งแต่รุ่นใหญ่จนถึงรุ่นเล็ก และสามารถเป็นที่ครองใจให้กับไบค์เกอร์ผู้หลงใหลในสปอร์ตไบค์และต้องการที่จะครอบครองรถมอเตอร์ไซค์ที่ครบองค์ไว้โลดแล่นทั้งบนถนนและในสนามให้ชื่นใจ ต้องขอบอกว่า Yamaha R Series เป็นคำตอบให้กับคุณได้แล้วครับ ในครั้งหน้า BoxzaRacing จะนำความรู้เรื่องรถเรื่องไหนมาฝากแฟนๆกันอีก...สามารถติดตามชมกันเลยได้เลยครับที่ www.BoxzaRacing.com สำหรับวันนี้ต้องขอลากันไปก่อน สวัสดีครับ

 

          สามารถติดตามข่าวสารการอัพเดทของ Yamaha ได้ที่เว็บไซต์ www.yamaha-motor.co.th และ Facebook Fanpage : Yamaha Society Thailand

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook