Royal Enfield SCRAM 411 ได้เปิดตัวในประเทศไทยไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ล่าสุดทาง Royal Enfield ได้เชิญ BoxzaRacing เข้าร่วมทดสอบ SCRAM 411 อย่างเป็นทางการแบบ วันเดย์ทริป กรุงเทพฯ - นครปฐม และต้องบอกเลยว่าการขับขี่ในครั้งนี้เราได้หวดกันแบบเต็มข้อเพื่อเค้นสมรรถนะออกมาบอกให้เพื่อนๆ ทุกคนได้ทราบกันว่ารถรุ่นใหม่จากแดนภารตะมีหมัดเด็ดที่ตรงไหนบ้าง
หลังจากที่เราได้เห็นคันจริงครั้งแรกภายในงาน Motor Expo 2022 ต้องยอมรับเลยว่า SCRAM 411 งานพาร์ทชิ้นส่วนและงานสี ทำออกมาได้เนี้ยบและดูดีมากๆ อีกทั้งยังได้รับการถ่ายทอด DNA มาจากรุ่นพี่ในคลาสอย่าง Royal Enfield Himalayan ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่สองรุ่นนี้จะมีหน้าตาที่คล้ายคลึงกันอย่างมาก แต่ก็ยังมีความแตกต่างกันเพราะ Royal Enfield SCRAM 411 นั้นถูกออกแบบมาเป็นรถสไตล์สแคมเบอร์ที่เน้นไปที่การขับขี่ใช้งานภายในเมืองมากกว่า
สำหรับการขับขี่ในครั้งนี้ได้เริ่มออกสตาร์ทกันที่ย่านรัชดาช่วงเวลา 9 โมงเช้า จัดว่าเป็นช่วงเวลาที่การจราจรค่อนติดขัดพอสมควร แต่ก็เป็นโอกาสให้เราได้ทดสอบความคล่องตัวของ Royal Enfield SCRAM 411 ในสภาพการจราจรอันหนาแน่นบนถนนภายในเมืองกรุง เมื่อได้ขึ้นไปจัดท่านั่งพร้อมขับขี่ SCRAM 411 บอกเลยว่าตำแหน่งแฮนด์ จุดวางเท้า ให้ท่านั่งขับขี่ที่สบายมากๆ อีกทั้งเบาะนั่งตอนเดียวมีความหนาและนุ่มช่วยให้ขับขี่ได้อย่างผ่อนคลาย ในช่วงเวลาไพร์มไทม์ แฮนด์บาร์ทรงกว้าง ไม่ใช่ปัญหาสำหรับการขับขี่ผ่านช่องทางการจราจรอันหนาแน่น แต่ก็ใช้ความระมัดระวังเพียงเล็กน้อยกับกระจกมองข้างของรถยนต์ที่อยู่ในระดับความสูงเดียวกัน การมุดเลี้ยวทำได้ง่ายเพราะตัวรถมีมุมเลี้ยวที่แคบมากๆ
ในด้านของขุมพลังกับการขับขี่ภายในเมือง คาแรคเตอร์ของเครื่องยนต์ 1 สูบขนาด 411 ซี.ซี. 4 จังหวะ SOHC ระบายความร้อนด้วยอากาศ เคลื่อนผ่านชุดเกียร์ 5 สปีด และพลัง 24.3 แรงที่ 6,500 รอบ/นาที กับแรงบิด สูงสุดที่ 32 นิวตันเทตร ที่ 4,500 รอบ/นาที ให้ฟีลลิ่งการขับขี่ที่เป็นมิตรสุดๆ เพราะกำลังของเครื่องยนต์ส่งออกได้สมูทมากๆ ซึ่งเหมาะกับผู้เริ่มต้นที่อยากอัพ ซีซี. หรืออยากหัดรถมีคลัทช์ อีกทั้งเครื่องยนต์ยังมีพละกำลังเพียงต่อการใช้งาน การเร่งแซงหรือทำความเร็วจึงไม่ใช้เรื่องยากถ้าหากคุณเข้าใจคาแรคเตอร์ของรถ
ในส่วนของช่วงล่างถูกเซ็ตติ้งมาได้อย่างลงตัวโช้คอัพหน้าแบบเทเลสโคปิคขนาดแกน 41 มม. มีระยะยุบอยู่ที่ 190 มม. และโช้คอัพหลังเดี่ยว ให้ระยะยุบ 180 มม. เมื่อต้องเจอกับแรงกระแทกแรงๆ โช้คอัพจะค่อยๆ ยุบและคืนตัวอย่างช้าๆ ไม่ทำให้ตัวรถเสียอาการเมื่อเจอกับทางโค้ง หลุม บ่อ หรือในเส้นทางออฟโรด ส่วนระบบเบรกดิสก์หน้าขนาด 300 มม. พร้อมคาลิปเปอร์แบบ 2 ลูกสูบ และ เบรกดิสก์หลังขนาด 240 มม. พร้อมคาลิปเปอร์แบบ 1 ลูกสูบ กับระบบ ABS แบบ Dual Channel ตอบสนองได้อย่างฉับไวและสามารถชะลอความเร็วหรือหยุดรถในจังหว่ะฉุกเฉินได้อย่างอยู่มือ
สำหรับการขับขี่ SCRAM 411 เราได้ใช้ระยะทางค่อนข้างเยอะพอสมควรสำหรับการทดสอบในครั้งนี้ต้องยอมรัยเลยว่าทำให้เราประทับใจอย่างมากโดยเฉพาะในส่วนการควบคุม ด้วยอาศามุมเลี้ยวที่แคบมากๆ จึงทำให้สามารถมุดเลี้ยวภายในเมืองได้อย่างง่ายดาย ส่วนสมรรถนะเครื่องยนต์หากใช้ภายในเมืองเพียงพอต่อการใช้งานอย่างแน่นอน แต่หากเป็นการขับขี่ทางไกลสามารถขับขี่ชิลๆ ได้อย่างสบาย ด้านสมรรถนะช่วงล่างทำออกมาได้ดีสามารถซับแรงกระแทกได้อย่างไม่มีสะทกสะท้าน เมื่อต้องเจอกับเส้นทางแบบออฟโรด
สุดท้ายนี้หลังจากที่ได้ทดลองขี่ Royal Enfield SCRAM 411 บอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งในรถอเนกประสงค์ขนาดกลางที่เป็นมิตรกับผู้ขับขี่มากๆ คาแรคเตอร์ของเครื่องยนต์ที่มีความสมูท จึงเหมาะมากๆ สำหรับมือใหม่ที่กำลังมองหารถมาใช้ในชีวิตประจำวันที่มีความคล่องตัว หรือหากคุณเป็นสายหล่อที่ชื่นชอบการตกแต่ง คัสตอมแล้ว SCRAM411 ก็ดูเข้าทีอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังสามารถสนุกไปกับเส้นทางออฟโรดได้ในระดับหนึ่ง ด้วยราคาค่าตัวเริ่มต้นที่ 175,900 บาท กับสิ่งที่อยู่ใน Royal Enfield SCRAM 411 คุ้มค่าและไม่ผิดหวังแน่นอน