Suzuki V-Strom 1050XT หนึ่งในแอดเวนเจอร์ทัวร์เรอร์ตัวท็อปในตระกูล V-Strom ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ได้โลดแล่นไปตามเส้นทางได้อย่างอิสระ ซึ่งตั้งแต่ยุคปี 2000s ทาง Suzuki ได้มีการพัฒนาหลายด้านมากๆ สำหรับซีรีส์ V-Strom ตั้งแต่ระบบอิเล็กทรอนิกส์และสมรรถนะเครื่องยนต์ V-Twin อันเป็นเอกลักษณ์ของทัวริ่งตัวท็อปในค่าย มาสู่ V-Strom 1050 XT ในปัจจุบัน
สำหรับดีไซน์ของ Suzuki V-Strom 1050 XT ได้พลิกโฉมให้มีความโดดเด่นอย่างมากโดยเฉพาะดีไซน์ที่เรียกได้ว่าสืบทอด DNA มาจากโมเดลระดับตำนานอย่าง Suzuki DR-Z และ DR-Big ด้วยไฟหน้า LED ทรงสี่เหลี่ยมแนวตั้ง และปากนกที่ยื่นออกมาเป็นเอกลักษณ์ นอกจากดีไซน์ที่โดดเด่นแล้วพาร์ทชุดสีของ V-Strom 1050 XT เพราะมีให้เลือกกัน 4 สีด้วยคือ สีเหลือง-ดำ, สีดำ, สีส้ม-ขาว และ สีเทา-ดำ ซึ่งแต่ละสีจะมาพร้อมกับ วงล้อแบบซี่ลวดสีทอง เว้นเพียงแต่ รุ่นสีเทา-ดำ ที่จะมาพร้อมกับวงล้อแบบซี่ลวดสีน้ำเงิน
ขุมพลัง V-Twin ขนาด 1,037 cc.
ถัดมาในส่วนของขุมพลังเครื่องยนต์สูบ V-Twin 90° ขนาด 1,037 cc. DOHC 4 จังหว่ะระบายความร้อนด้วยน้ำ โดยเครื่องยนต์ V-Twin ใหม่นี้ได้รับการพัฒนาใหม่ให้มีอัตราเร่งที่ดีขึ้นแรงม้าสูงสุดที่ 107 แรงม้าที่ 8,500 รอบ และแรงบิดสูงสุดที่ 100 Nm ที่ 6,000 รอบ พร้อมด้วยความจุถังน้ำมันขนาด 20 ลิตรกับน้ำหนักตัว 247 กก.
ช่วงล่างแน่นๆ ปรับตั้งค่าได้
สำหรับสมรรถนะช่วงล่างของ Suzuki V-Strom 1050 XT จะมาพร้อมกับระบบกันสะเทือนหน้า Inverted Telescopic และระบบกันสะเทือนหลังเดี่ยว ซึงสามารถปรับตั้งค่าความหนืดได้ทั้งหน้าและหลัง ส่วนระบบเบรกเป็นดิสก์เบรกคู่ด้านหน้า พร้อมด้วยคาลิปเปอร์ TOKICO แบบลูกสูบคู่ และด้านหลังดิสก์เบรกเดี่ยว ทำงานร่วมกับคาลิปเปอร์ TOKICO แบบลูกสูบคู่ เสริมมาตรฐานความปลอดภัยอีกขั้นด้วยระบบเบรก ABS หน้า/หลัง ส่วนวงล้อซี่ลวดแบบ Tubeless มีความแข็งแรงทนทานเหมาะทั้งออนโรดและออฟโรด รัดด้วยยาง Bridgestone Battlax A41 หน้าขนาด 110/80R19M/C (59V) และหลังขนาด 150/70R17M/C (69V)
6 ฟีเจอร์เด็ด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์
ในด้านของเทคโนโลยี Suzuki V-Strom 1050 XT ได้ยกระดับระบบอิเล็กทรอนิกส์ให้มีความอัจฉริยะมากยิ่งขึ้น เพื่อเข้ามาช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยผู้ขับขี่ ให้มีความมั่นใจและตอบโจทย์ในการใช้งานมากยิ่งขึ้น
1. Inertial Measurement Unit (IMU)
ระบบประมวลองศาของตัวรถแบบ 3 แกน 6 ทิศทาง โดยจะทำงานร่วมกับระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Motion Track Brake System, Hill Hold Control System, Slope Dependent Control System และ Load Dependent Control System
2.Riding Mode
โหมดการขับขี่มีให้เลือก 3 โหมดคือ โหมด A ให้การขับขี่แบบสปอร์ตซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ชอบความแรง โหมด B เป็นการขับขี่ใช้งานทั่วไปแรงบิดจะไม่หวือหวาเหมือนกับโหมด A ส่วนโหมด C เปรียบเทียบก็คือโหมด Rain นั้นเองซึ่งเป็นโหมดที่ให้แรงบิดน้อยที่สุดเพื่อความปลอดภัยเมื่อต้องเจอกับสภาพพื้นผิวที่เปียกนั่นเอง
3.Traction Control System
ระบบ Traction Control สามารถเลือกปรับได้ 3 ระดับ และสามารถปิดการใช้งานได้ตามสถานการณ์
3.1 ระดับ 1 ระบบจะให้ล้อหลังหมุนฟรีอยู่บ้างซึ่งเหมาะกับสายลุยที่อยากสนุกกับทางฝุ่นแต่ยังต้องการความปลอดภัยที่มากขึ้น
3.2 ระดับ 2 ระบบจะตัดการทำงานของเครื่องยนต์แต่ยังปล่อยให้ล้อหลังได้หมุนเร็วกว่าล้อหน้าเพียงเล็กน้อย
3.3 ระดับ 3 ในระดับนี้ระบบจะไม่ปล่อยให้ล้อหลังหมุนเร็วกว่าล้อหน้าเลยทำให้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจเมื่อต้องเจอกับพื้นผิวถนนที่เปียกและลื่น
4. ABS System
ระบบเบรก ABS สามารถเลือกปรับได้ 2 ระดับ
5. Cruise Control System
ระบบบที่มาเพิ่มความสะดวกสบายขณะขับขี่ทางไกล โดยสามารถตั้งค่าใช้งานได้ขณะที่ใช้เกียร์ 4 ขึ้นไป และตั้งค่าความเร็วคงที่ได้ตั้งแต่ 60 กม. ขึ้นไป
6. Multi-Function Instrument Cluster
เรือนไมล์ Full-LCD กะทัดรัด น้ำหนักเบา อ่านข้อมูลง่าย ชัดเจน แสดงผลข้อมูลครบครัน และแสดงผลการใช้ระบบ SDMS, Traction Control, Cruise Control, ABS และพร้อมสัญญาณไฟอื่นๆแบบ LED
ในเมืองไม่มีหวั่น ออกเที่ยวไม่เคยเกี่ยง
หลังจากที่ได้ไปรับ Suzuki V-Strom 1050 XT มาอยู่ในมือก็คิดนานสองนานว่าจะเอามาทำอะไรให้เพือนๆ ได้ชมกัน สุดท้ายแล้วเราได้ตัดสินใจ ทดสอบรถด้วยการขับขีท่องเที่ยวแบบชิลๆ แน่นอนว่าไม่ได้ขี่เที่ยวออกต่างจังหวัดเพียงอย่างเดียว ในครั้งนี้เราได้นำพี่ใหญ่สายลุยมาผจญภัยในเมืองด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเป็นยังไงบ้างมาชมไปพร้อมๆ กันได้เลย
สัมผัสแรกบนอานจ้าววายุ
ว่าด้วยเรื่องการขับขี่ Suzuki V-Strom 1050 XT ครั้งแรกของผู้เขียนเมื่อได้พบสบตากันต้องยอมรับเลยว่าแอบหวั่นใจอยู่เช่นกัน ด้วยขนาดทรวดทรงที่ดูดุดันของพี่พายุขนาด 1,037 cc. ทำให้รู้สึกระหม่าอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อได้ลองขึ้นไปนั่งอยู่บนอานของมัน ทำให้ได้รู้ว่ามิติตัวรถไม่ได้ใหญ่อย่างที่คิด นั่นก็เพราะการออกแบบที่ลงตัวตั้งแต่หัวจรดท้ายด้วยการนำ DNA ของรถแข่งออฟโรดในตำนานมาอยู่ใน V-Strom 1050 XT ทำให้มิติตัวรถมีขนาดที่สมส่วนและโดดเด่นสะกดทุกสายตา โดยเฉพาะดีไซน์ของไฟหน้า LED ทรงสี่เหลี่ยมแนวตั้ง และปากนกที่ยื่นออกรับเข้ากับไฟหน้า ส่วนถังน้ำมันขนาด 20 ลิตร ออกแบบมาได้อย่างใส่ใจผู้ขับขี่มากๆ เมื่ออยู่ในท่านั่งขับขี่ปกติแล้วตัวถังน้ำมันเรียวรับกับท่านั่งขับขี่ได้อย่างพอดิบพอดี ทำให้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น
Easy Control & Balance
การควบคุมตามสไตล์รถแอดเวนเจอร์ทัวร์เรอร์ที่มาพร้อมกับแฮนด์เดิลบาร์แบบ Aluminum Tapered ที่เป็นมาตรฐาน บวกกับท่านั่งขับขี่แบบหลังตรง ช่วยให้การควบคุมรถไปตามทิศทางที่ต้องการได้อย่างง่ายดายแม้ว่าจะเป็นการขับขี่ภายในเมืองก็ตาม ด้วยมิติตัวรถขนาด 940 x 2,265 x 1,465 มม. (กว้าง x ยาว x สูง) และความสูงจากพื้นถึงเบาะ 850 มม. ตัวผู้ขับขี่สูง 169 ซม. เมื่อต้องขับขี่ผ่านช่องทางการจราจรสามารถใช้ปลายเท้าคอยช่วยบาลานซ์ตัวรถผ่านไปได้สบายๆ แต่หากต้องจอดหรือหยุดรถก็เอียงก้นทิ้งเพื่อเหยียบเท้าลงเต็มพื้นหนึ่งข้างได้อย่างไร้ความกังวล ซึ่งในช่วงแรกอาจจะต้องใช้ความคุ้นชินสักนิด แต่เมื่อปรับตัวได้แล้วการขับขี่เที่ยวเล่นภายในเมือง มิติตัวรถและน้ำหนักไม่ใช่ปัญหาอย่างแน่นอน
V-Twin คันเร่งไฟฟ้า จัดจ้าน
สัมผัสแรกในขุมพลัง V-Twin 1,037 cc. เรียกได้ว่าจัดจ้านตั้งรอบต้นกันเลยทีเดียว รู้สึกได้พละกำลังที่พร้อมจะปลดปล่อยออกมา ยอมรับเลยว่าครั้งแรกที่บิดนั้นทำเอาหน้าเหวออยู่ไม่น้อยเพราะคันเร่งไฟฟ้าตอบสนองไวมากๆ และอยู่ใน Riding โหมด A บอกเลยว่าในโหมดนี้แรงที่สุด แรงบิดมาเต็ม ดึงเอาหน้าเงิบอยู่เหมือนกัน แต่พอเริ่มชินบิดมันส์มาก แม้ว่าจะเป็นการขับขี่ภายในเมืองกรุงถ้ารู้จักการใช้คันเร่งไม่น่ากลัวอย่างที่คิด แต่หากมีความกังวลแล้วละก็สามารถปรับมาใช้ Riding โหมด B หรือ C ก็ได้เพราะในสองโหมดนี้จะมีแรงบิดที่น้อยกว่า
กรุงเทพฯ - นครนายก ลุยเต็มพิกัด!
หลังจากที่ได้ขับขี่ Suzuki V-Strom 1050 XT จนเข้ามือแล้วตามแพลนที่เราได้วางไว้ในวันนี้ต้องเดินทางหนีฝุ่นควันในเมืองออกไปสูดโอโซนใกล้ๆ เขาใหญ่กันสักหน่อย แน่นอนว่าวันเดย์ทริปในรอบนี้อยู่ที่ จ.นครนายก ซึ่งเป็นหนึ่งในจังหวัดยอดฮิตของเหล่าไบค์เกอร์ ด้วยระยะทางและเวลาที่ใช้ในการเดินไม่มากนัก จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะไปพักผ่อนกันแบบไปเช้า-เย็นกลับ
สำหรับการขับขี่ในวันนี้บอกเลยว่าเป็นฟีลลิ่งการขับขี่ท่องเที่ยวผจญภัย ด้วยสภาพการจราจรในวันธรรมดาที่หนาแน่น กับความคุ้นชินกับตัวรถการขับขี่จึงไปได้รวดเร็วกว่าวันแรกอย่างเห็นได้ชัดใช้เวลาเพียงไม่นานบน ถนนรังสิต-นครนายก ด้วยท่านั่งขับขี่แบบหลังตรงกับเบาะนั่งผู้ขับขี่ที่ออกแบบมาได้นุ่มนวล ช่วยให้การขับขี่ในระยะทางไกลผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี บวกกับชิลด์กันลมด้านหน้าพร้อมกับชิลด์แต่งเสริมตัดลมผ่านข้ามหมวกกันน็อคไปได้อย่างหมดจด
ในด้านของสมรรถนะเครื่องยนต์ V-Twin อย่างที่หลายคนรู้กันว่ารถในคลาส 1,000 cc. มีพละกำลังให้ใช้แบบเหลือๆ การเร่งแซงหรือทำความเร็วไม่ใช่เรื่องยากสำหรับ Suzuki V-Strom 1050 XT ที่มีเกียร์ 6 สปีดและระบบคันเร่งไฟฟ้า ทำให้อัตราเร่งมาไวตั้งแต่รอบต้นๆ และสามารถต่อเกียร์เพื่อทำความเร็วต่อเนื่องได้อย่างไม่มีขัดข้อง ส่วนเทคโนโลยีขณะขับขี่แม้ว่าสภาพพื้นถนนแบบฉบับไทยแลนด์ทำให้สัญลักษณ์ Traction Control กระพริบเตือนถี่ๆ อยู่บ่อยครั้งแต่ตัวรถก็ไม่ได้สูญเสียการทรงตัวเลยสักนิด ในจุดต้องชมเลยว่าทางซูซูกิทำออกมาเสริมสมรรถนะความปลอดภัยได้อย่างยอดเยี่ยม ด้านระบบ Cruise Control สามารถเปิดใช้งานได้ง่ายด่าย โดยสามารถตั้งค่าใช้งานได้ขณะที่ใช้เกียร์ 4 ขึ้นไป และตั้งค่าความเร็วคงที่ได้ตั้งแต่ 60 กม. ขึ้นไป ซึ่งสะดวกสบายมากๆ ลดความเหนื่อยล้าจากการบิดคันเร่งได้ เมื่อต้องขับขี่ระยะทางไกลและใช้ความเร็วคงที่ แต่ถ้าต้องการยกการใช้งานแค่บิดคันเร่งไปด้านหน้าเบาๆ หรือแตะเบรกเบาๆ ระบบจะตัดการทำงานทันที
สำหรับช่วงล่างระบบกันสะเทือนหน้า Inverted Telescopic และระบบกันสะเทือนหลังแบบเดี่ยว ถูกเซตติ้งมาจากโรงงาน มีความหนืดและช่วงระยะยุบที่ลงตัวสามารถขับขี่เข้า-ออกโค้งได้นิ่งมากๆ บวกกับยาง Bridgestone Battlax A41 ที่ออกแบบมาเพื่อการเดินทางในจึงมั่นใจได้ในคุณภาพ สามารถยึดเกาะพื้นผิวถนนได้อย่างยอดเยี่ยม ส่วนการขับขี่ในทางฝุ่นหรือออฟโรดด้วยที่ตัวโช้คอัพหน้า/หลัง สามารถปรับตั้งค่าได้ การซับแรงเมื่อต้องเจอกับอุปสรรคไม่ใช่ปัญหาสำหรับ V-Strom 1050 XT อย่างแน่นอน และยางติดรถก็สามารถใช้งานได้ในระดับหนึ่งแต่ถ้าหากต้องการลุยจริงๆ แนะนำว่าให้เปลี่ยนเป็นยางแบบ Dual Purpose รับรองว่าขี่มันส์กว่าเดิม
ด้านระบบเบรกทำงานได้อย่างฉับไว เพียงแค่แตะเบาๆ รถก็พร้อมที่จะชะลอหรือหยุดได้ตามที่ต้องการ ซึ่งถ้าหากเราได้ไล่น้ำหนักในการเบรกต้องยอมรับเลยว่ามีความละเอียดและนุ่มนวลมากๆ แม้ว่าตัวรถจะหนัก 247 กก. แต่ดิสก์เบรกคู่ด้านหน้ากับคาลิปเปอร์ TOKICO และดิสก์เบรกหลังเดี่ยว กับคาลิปเปอร์ TOKICO เมื่อต้องสถานการณ์ฉุกเฉินก็สามารถชะลอและหยุดรถได้อย่างอยู่หมัด ส่วนระบบ ABS ที่สามารถปรับตั้งค่าได้ 2 โหมด บอกเลยว่าทำงานได้อย่างเรียบเนียนจนแทบไม่รู้สึกถึงตอบสนองสักเท่าไหร่แต่ก็สามารถรับรู้ได้
ถัดมาในส่วนของฟังก์ชั่น Inertial Measurement Unit (IMU) ระบบประมวลองศาของตัวรถแบบ 3 แกน 6 ทิศทาง มาช่วยรักษาองศาของตัวรถทำให้สามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัยมายิ่งขึ้น โดยเฉพาะระบบ Motion Track Brake System จะเข้ามาควบการทรงตัวเมื่อต้องเบรกภายในโค้ง และอีกหนึ่งระบบที่เราได้ทดลองและรู้สึกถูกใจมากๆ คือระบบ Hill Hold Control System ซึ่งทำหน้าคล้ายกับเบรกมือของรถยนต์นั่นเอง โดยจะทำงานก็ต่อเมื่อหยุดรถในทางลาดชันโดยกำเบรกหน้าค้างไว้จนมีสัญลักษณ์ H ขึ้นโชว์ที่มุมจอด้านซ้ายล่าง ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายมากๆ เมื่อต้องจอดในทางลาดชัน
หลังจากที่ได้ขับขี่ Suzuki V-Strom 1050 XT เที่ยวกันมาถึงสองวันทั้งในเมืองกรุงและต่างจังหวัด ขอบอกเลยว่าเป็นรถแอดเวนเจอร์ทัวร์เรอร์ที่โดดเด่นด้วยการผสมผสาน DNA โมเดลระดับตำนาน และด้วยเอกลักษณ์ของเครื่องยนต์ V-Twin ที่มีอัตราเร่งดุดันและที่จัดจ้านตั้งรอบต้นยันปลาย บวกกับเทคโนโลยีและระบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ซูซูกิพัฒนาขึ้นมาเพื่อเสริมสมรรถนะการขับขี่และความปลอดภัยแบบครบครัน ซึ่งต้องบอกเลยว่าหากใครที่กำลังมองหารถแอดเวนเจอร์ทัวร์เรอร์ที่มีสมรรถนะและฟังก์ชั่นใช้งานที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การขับขี่ไม่ว่าจะทางดำหรือออฟโรด V-Strom 1050 XT ที่อยู่ในราคา 619,000 บาท ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่คุ้มค่าและถูกใจอย่างแน่นอน
สุดท้ายนี้ขอบอกไว้ก่อนว่า Suzuki V-Strom 1050 XT ที่เราได้นำมาขับขี่ในครั้งนี้เป็นรถที่มาพร้อมกับชุดแต่งที่ออฟชั่นเสริม โดยจะมีในส่วนของ ชิลด์บังลม, แคชบาร์ด้านบน, แร็คข้าง-ท้ายและกล่องท้าย ซึ่งถ้าเพื่อนๆ สนใจแล้วก็สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่เฟซบุ๊คแฟนเพจ Suzukisocietythailand และ www.suzukimotosales.co.th