เชื่อเลยว่าไบค์เกอร์อย่างเราๆ ต้องมีทริปในฝันที่อยากไปอย่างแน่นอน การที่ได้ขับขี่รถคู่ใจท่องทะยานไปบนเส้นทางต่างๆ คือการพักผ่อนและเป็นความสุขที่จะได้ควบสองล้อคู่ใจไปเที่ยวในวันหยุดพักผ่อน และในครั้งนี้ BoxzaRacing ได้รับเชิญจากทาง Royal Enfield ไปร่วมผจญภัยเส้นทางวิบากในแคว้นลาดักห์พร้อมกับพิชิตถนนที่อยู่สูงที่สุดในโลกบนเทือกเขาหิมาลัยในทริป Moto Himalaya 2022 หนึ่งในทริปขี่รถจักรยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของ Royal Enfiled ที่ไบค์เกอร์ทั่วโลกใฝ่ฝันที่จะมาสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้งในชีวิต บอกเลยว่าเมื่อเราได้ผจญภัยคู่กับรถมอเตอร์ไซค์ไปตามเส้นทางบนเทือกเขาหิมาลัยแล้วมันทำให้เราหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของ Leh Ladakh (เลห์ ลาดักห์) อยู่ไม่น้อย!
ทำความรู้จักกับอาชาคู่กาย
Moto Himalaya 2022 ทริปพิชิตเส้นทางที่สูงที่สุดในโลกเป็นอีกหนึ่งในดรีมทริปของไบค์เกอร์หลายท่านอย่างแน่นอน และอาชาคู่กายของผมในทริปนี้ก็คือ Royal Enfield Himalayan รถจักรยานยนต์แอดเวนเจอร์ทัวร์ริ่ง สไตล์คลาสสิกขนาดกลาง ซึ่งในตอนแรกเป็นรถที่เปิดตัวมาเพื่อตลาดอินเดียเป็นหลัก แต่ด้วยกระแสความฮอตฮิตจึงทำให้เติบโตมาเป็นหนึ่งในผู้นำจักรยานยนต์แอดเวนเจอร์ทัวร์เรอร์ขนาดกลางที่อยู่แถวหน้าของระดับโลก
Royal Enfield Himalayan มาพร้อมกับไฟหน้าทรงกลมแบบคลาสสิก ด้านข้างถังน้ำมันถูกติดตั้งแคชบาร์มาให้จากโรงงาน เรือนไมล์เป็นแบบดิจิตอลผสมกับอะนาล็อคโดยจะแสดงมาตรวัดความเร็ว รอบเครื่อง, น้ำมัน, อุณภูมิ และทิศทาง นอกจากนี้ตำแหน่งของแฮนด์บาร์ จุดพักเท้าและความสูงของเบาะนั่งได้ถูกออกแบบมาหลักหลักสรีรศาสตร์ ทำให้นั่งขับขี่ได้อย่างสบายๆ ในทุกเส้นทาง
ในด้านของเครื่องยนต์ 1 สูบ 4 จังหวะ SOHC 411 ซีซี. แบบ 4 จังหวะระบายความร้อนด้วยอากาศ จุดระเบิดด้วย TCI แบบ multi-curve จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด (with throttle position sensor พร้อมเซ็นเซอร์ลิ้นเร่ง) ช่วยลดอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันทำให้วิ่งได้ไกลมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิงมากถึง 15 ลิตร และมีน้ำหนักตัวเพียงแค่ 185 กก. เท่านั้น
ระบบกันสั่นสะเทือนเป็นโช้คอัพหน้าเทเลสโคปิค และโช๊คหลังแบบ Mono-Shock มาพร้อมด้วยระบบเบรกดิสก์หน้า-หลัง โดยมีดิสก์เบรกหน้าขนาด 300 มม. และดิสก์เบรกหลังขนาด 240 มม. ซึ่งทำงานร่วมกับระบบ ABS แบบ Dual Channel ส่วนวงล้อเดิมๆ จากโรงงานเป็นแบบซี่ลวด รัดด้วยยางแบบ Dual-Purpose ช่วยให้ตัวรถยึดเกาะได้ทุกสภาพผิว
Day 1 @Ladakh (ลาดักห์)
สำหรับวันแรกที่เราได้เดินทางมาถึงยังสนามบิน Leh ตามกำหนดการของทริป Moto Himalaya 2022 ในวันนี้เหล่าบรรดาผู้เข้าร่วมทริปจะต้องพักผ่อน และปรับสภาพร่างกายให้เข้ากับระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 3,500 เมตร ซึ่งหลังจากที่เราได้เดินทางมาถึงยังเมืองเลห์แล้ว ก็ถูกพาไปยังโรงแรมเพื่อพักผ่อนทันที โดยทางทีมงานของ Royal Enfield ได้กำชับให้เราได้ปฎิบัติตามคือให้ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 1 - 2 ลิตร ห้ามวิ่ง ห้ามกระโดด และห้ามการออกกำลังกายโดดเด็ดขาด เพราะพื้นที่ของเลห์นั้นมีออกซิเจนเบาบางมากๆ จะทำให้หน้ามืด หรือว่าหมดสติได้นั่นเอง
หลังจากเดินทางมาถึงยังโรงแรมที่พัก ก็รีบดื่มน้ำเปล่าตามคำแนะนำของทีมงาน ก่อนจะขึ้นพักผ่อนเพื่อให้ร่างกายปรับตัวให้เข้าสภาพอากาศของที่นี่ และแน่นอนว่ามา เลห์ ทั้งทีจะให้อยู่เฉยๆ ในห้องพักอย่างเดียวได้ยังไง ต้องออกไปสำรวจรอบๆ โรงแรมกันสักหน่อย บอกเลยที่นี่เป็นเมืองเงียบสงบ มีอากาศเย็นสบาย ที่สำคัญมีอากาศดีมากๆ วิวทิวทัศน์จากห้องพักที่มองออกไปนั้นแจ่มสุดๆ ส่วนบรรยากาศโดยบริเวณใกล้ๆ โรงแรมส่วนใหญ่จะเป็นร้านขายของท้องถิ่น เรียงรายไปอยู่ข้างถนนทั้งสองฝั่ง ผมใช้เวลาอยู่พักใหญ่ในการเดินสำรวจและถ่ายภาพก่อนจะกลับเข้าที่พักเพราะใกล้เวลานัดหมายประเมินสภาพร่างกาย
เนื่องจากเป็นพื้นที่สูงเหนือระดับน้ำทะเลมากถึง 3,500 เมตร ในทริปนี้ทางรอยัล เอนฟิลด์ ได้มีการตรวจสภาพร่างกายของผู้ร่วมทริปทุกคนโดย “หมอ” ประจำทีมซึ่งจะเป็นผู้ดูแลและประเมินความพร้อมร่างกายของทุกคนตลอดทริปนี้ ไม่ว่าจะเป็นการวัดความดัน ตรวจเช็คอาการต่างๆ ที่เกี่ยวกับโรคแพ้ความสูงหรือ Altitude Sickness โดยจะแนะนำการปฏิบัติตัวให้ร่างกายปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศที่เบาบาง ซึ่งตัวผมเองไม่มีอาการอะไร จึงทำให้การประเมินความพร้อมผ่านไปได้ด้วยดี
พูดถึงเรื่องการใช้ชีวิตใน เลห์ กันบ้างหากใครที่คิดจะมาซื้อซิมแบบเติมเงินที่นี่หรือ จะเปิดโรมมิ่งมาจากไทยเพื่อจะใช้อินเตอร์เน็ตแล้วละก็ บอกเลยว่าทำลายความฝันนั้นไปได้เลยเพราะที่นี่ ส่วนมากจะเป็นสัญญาณ wifi ที่ใช้กันแต่ในโรงแรม ซึ่งสัญญาณนั้นค่อนข้างอ่อนมากๆ และสาเหตุที่ใช้ไม่ได้ก็เพราะทางภาครัฐอนุญาตให้เฉพาะซิมแบบรายเดือนเท่านั้น ส่วนในเรื่องอาหารการกินนั้นอาหารท้องถิ่นส่วนใหญ่จะเป็นอาหารมังสวิรัติที่เน้นผักกับไข่ ซึ่งจะกินกับข้าวบาสมาติ หรือไม่ก็แผ่นแป้งจาปาตี แต่มาไกลถึงเลห์แล้ว บอกเลยว่าถ้าได้ลองกินอาหารท้องถิ่นมันก็อร่อยอยู่ไม่น้อยเลย
Day 2 การบรรจบกันของ แม่น้ำสินธุ - ซานสการ์ (Sangam In-Dus - Zanskar)
วันที่สองของทริป เป็นวันแรกที่เราได้เริ่มขับขี่เพื่อให้ร่างกายได้คุ้นชินกับสภาพอากาศและคุ้นเคยกับ Royal Enfield Himalayan ที่เป็นอาชาคู่กายของทริปนี้ โดยแต่ละคนจะมีหมายเลขประจำตัวติดไว้ที่รถและในทริปนี้มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 20 คน ซึ่งมาจากหลากหลายประเทศไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น เกาหลี อินโดนีเซีย และผมที่เป็นคนไทยคนเดียวของทริปนี้ หลังจากที่เตรียมพร้อมเพื่อเริ่มขับขี่เป็นที่เรียบร้อยทีมมาแชลของทริปนี้ เรียกรวมตัวเพื่อแนะนำการขับขี่เพื่อความปลอดภัยในการใช้ถนน และบรีฟเส้นทางที่ใช้โดยในวันนี้เราจะขับขี่ระยะทางไปกลับรวมทั้งหมด 72 กม. ซึ่งเส้นทางหลักของเราในวันนี้ส่วนใหญ่คือทางดำ แต่ก็ยังพอมีทางฝุ่นบ้างเล็กน้อยให้เราได้สนุกเบาๆ
เริ่มต้นขับขี่ในวันแรก บรรยากาศและสภาพภูมิทัศน์ที่รายล้อมเส้นทางด้วยภูเขาสูงใหญ่ ยอมรับเลยว่าตัวผมเองรู้สึกตื่นเต้น และว้าวสุดๆ กับบรรยากาศรอบตัวอยู่ไม่น้อย ส่วนการขับขี่ Himalayan ครั้งแรกบอกเลยว่าเข้าขากันสุดๆ ด้วยความสูงจากพื้นถึงเบาะเพียงแค่ 800 มม. ทำให้ผมซึ่งมีความสูง 169 ซม. สามารถวางเท้าที่พื้นได้อย่างสบายๆ ทั้งสองข้าง กับท่านั่งขับขี่แบบหลังตรงและน้ำตัวรถเพียงแค่ 185 กก. และพลิกเลี้ยวตามไปตามเส้นทางต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย
สำหรับนการสัญจรของที่นี่เหมือนในบ้านเราคือจะขับชิดซ้ายจึงทำให้เราไม่ต้องใช้เวลาการปรับตัวกับตรงจุดนี้เลย แต่การให้สัญญาณเสียงเตือนอย่างเสียงแตร! ถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติมากๆ ทุกครั้งเวลาที่ต้องการแซงคนที่นี่จะบีบแตรให้สัญญาณอยู่ตลอด ส่วนรถที่ช้ากว่าก็จะหลบให้แต่โดยดี มันก็ทำให้ผมถูกใจอยู่ไม่น้อยเลยสำหรับสิ่งนี้ เพราะถ้าหากเป็นบ้านเราเองคงได้มีเรื่องกันอย่างแน่นอน นอกจากการใช้เตือนเพื่อแซงแล้ว ในบางช่วงของการเดินทางยังต้องใช้เพื่อเป็นสัญญาณเตือนให้รถที่สวนมาจากทางที่เป็นมุมอับสายตาให้รู้มีเราที่กำลังสวนทางมา เพราะถนนในบางช่วงนั้นต้องคอยหลบกันเพื่อให้อีกคันสวนมา ที่สำคัญบนถนนส่วนใหญ่จะเป็นรถบรรทุก ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ หลังจากที่ออกเดินทางมาได้ไม่นานเราก็เดินทางมาถึงยังจุดหมายปลายทางของวันแรก ซึ่งเป็นจุดบรรจบกันของแม่น้ำสินธุ - ซานสการ์ และเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คธรรมชาติที่ตั้งอยู่ระหว่างภูเขาอันสวยงามที่ดึงดูดใจให้เราได้ชมความงดงามของแม่น้ำและวิวทิวทัศน์ ก่อนจะตั้งขบวนเดินทางกลับไปยังที่พัก
Day 3 พิชิตถนนที่สูงที่สุดในโลก @คาร์ดุง ลา (Kardung-La)
สำหรับวันนี้เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของทริปเลยก็ว่าได้เพราะ เราจะได้ขับขี่ขึ้นไปพิชิตถนนที่สูงที่สุดในโลกที่ คาร์ดุง ลา (Kardung-La) ซึ่งอยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 5,359 เมตร และเป็นประตูสู่หุบเขานูบรา (Nubra) จุดหมายปลายทางของวันนี้
ในวันนี้เราต้องขับขี่จากเมืองเลห์ไปยังหุบเขานูบรา ซึ่งมีระยะทางรวมมากกว่า 160 กม. โดยเริ่มออกเดินทางกันตั้งแต่ 8.30 น และเป้าหมายแรกของวันคือการขึ้นไปพิชิตเส้นทางที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งห่างจากจุดเริ่มต้นของเราออกไปประมาณ 40 กม. ในช่วงแรกของเส้นทางนั้นเป็นทางดำให้เราเริ่มทำความคุ้นชินกับรถคู่กายอีกครั้งก่อนจะเริ่มไต่ระดับขึ้นไปบนเส้นทางบนภูเขาที่สูงชันและคดเคี้ยว เนื่องจากยังไม่ค่อยคุ้นชินการสัญจรของที่นี่มากนัก เพราะเวลาขับขี่สวนกับรถใหญ่ที่ลงมาจากภูเขานั้นค่อนข้างชิดจนเกือบจะชนทำให้เราต้องหยุดและให้ทางอยู่บ่อยๆ ที่สำคัญบนเส้นทางที่ใช้นั้นไม่มีแนวกั้นกันตก จะบอกง่ายๆ คือถ้าตกใจแล้วหักหลบมาคือลงเหวแน่นอน! จนระยะทางใกล้กับจุดหมายแรก แคว้นลาดักต้อนรับบรรดาผู้ร่วมทริปด้วยเส้นทางวิบากแรกกับอุณภมูิที่ต่ำกว่า 15 องศา ให้เราได้ควบ Himalayan ที่เป็นอาชาคู่กายลุยผ่านขึ้นไปพิชิตถนนที่สูงที่สุดในโลก
ระยะเวลาที่เดินทางมาถึงยังจุดหมายแรกที่ คาร์ดุง ลา เราใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ด้วยรูปแบบของเส้นทางวิบากที่สลับคดเคี้ยวและสูงชัน จึงทำให้ใช้เวลาค่อนข้างเยอะพอสมควรเมื่อเทียบกับระยะทาง 40 กม. แต่เมื่อขึ้นมาถึงบนจุดยอดสุดแล้วยอมรับเลยว่าแอบเหนื่อยอยู่เหมือนกัน เพราะเส้นทางวิบากนั้นค่อนเปียกและลื่น แต่ก็โชคดีที่เจ้า Himalayan นั้นเป็นรถที่มีน้ำหนักเบาและขาทั้งสองข้างสามารถแตะลงบนพื้นช่วยประคองรถได้ทั้งสองข้าง ส่วนพละกำลังขนาด 411 ซีซี. เพียงพอต่อการใช้งานอย่างแน่นอน จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะช่วยนำพาเราขึ้นมาบนจุดสูงสุดได้อย่างสบายๆ
หลังจากที่พักจนหายเหนื่อยแล้วก็ตั้งขบวนเคลื่อนตัวลงมาจากยอดเขา ซึ่งเส้นทางหลังจากนี้เป็นเส้นทางออฟโรด ซึ่งก็ไม่ได้จัดว่าขับขี่ยากมากนัก แต่บอกเลยว่าเป็นเส้นทางที่ขี่สนุกอยู่เช่นกัน ซึ่งจะเป็นถนนเลียบไปกับเส้นแม่น้ำโชก (Shyok River) และเป็นเส้นทางที่รถบรรทุกเยอะมากๆ เวลาเห็นรถใหญ่สวนกันก็แอบลุ้นอยู่ใจนิดหน่อยเพราะถนนไม่กว้างมากนัก แต่เมื่อเราเข้าใกล้กับนูบรา เส้นเริ่มเปลี่ยนเป็นทางดำ ส่วนวิวข้างหน้าที่เห็นคือพื้นที่ทะเลทรายที่ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาสูงชันกับพื้นที่สีเขียวของหมู่บ้านเปรียบเสมือนโอเอซิสขนาดย่อมที่มีความอุดมสมบรูณ์ตั้งอยู่กลางทะเลทราย ซึ่งก็คือหมู่บ้านในหุบเขานูบราที่เป็นจุดหมายปลายทางของวันนี้นั่นเอง
Day 4 Pangong Tso (ผางกงโฉ) ทะเลสาบน้ำเค็มที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดในโลก
และในวันที่ 4 มีปลายทางอยู่ที่ Pangong Tso หรือ ผางกงโฉ ทะเลสาบน้ำกร่อยที่อยู่ในเทือกเขาหิมาลัย เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่อยู่สูงที่สุดในโลกและอยู่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 4,350 ม. วันนี้เราต้องออกเดินทางออกจากนูบรา (Nubra) กันตั้งแต่ 8.30 น. เพราะจุดหมายปลายอยู่ห่างออกมากถึง 240 กม. และต้องขึ้นไปพิชิตถนนที่สูงสุดอีกหนึ่งสายของอินเดียอย่าง Walira Pass หรือ ถนนวารีลา ตั้งอยู่ในหุบเขานูบราและอยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 5,312 ม.
หลังจากที่ออกเดินทางได้ไม่นานเราก็เข้าสู่ Walira Pass ซึ่งเส้นทางส่วนใหญ่เป็นทางวิบาก และยังต้องขี่ข้ามน้ำหลายจุด ซึ่งเป็นไฮไลท์ของการขับขี่ในวันนี้ และก็มีอีกหนึ่งบททดสอบเพิ่มเข้ามาเพราะที่กลุ่มเมฆดำที่ตั้งเค้ามาตั้งแต่ตอนที่เราเข้าสู่ถนนเส้นนี้ ได้เริ่มโปรายลงมาเป็นสายฝน ลงมาเนรมิตเส้นทางวิบากของเราให้เป็นดินโคลน ให้เราได้ท้าทายไปกับเส้นทางวิบากไปกับเจ้า Himalayan คู่กายไปจนถึงยอดสุดของ Walira Pass ซึ่งเส้นทางที่ขึ้นมานั้นบอกเลยว่าแทบจะเป็นดินโคลนตลอดเส้นทางซึ่งมันลื่นมากๆ อีกทั้งยังเป็นทางขึ้นเขาที่ค่อนข้างชันและคดเคี้ยวกว่าวันแรกๆ ที่เจอ ทำให้เราต้องใช้เกียร์ต่ำตลอดการขับขี่ ต้องยอมรับเลยว่ากำลังเครื่องยนต์ในรอบต้นที่มามีให้ใช้แบบเหลือๆ สามารถใช้ขับขี่ขึ้นทางชันได้อย่างชิลๆ แม้ว่าบางช่วงนั้นเป็นทางดินเลี้ยวขึ้นแบบหักศอกก็ตาม ส่วนโช้คอัพหน้า-หลัง ในเส้นทางออฟโรดเราต้องเจอกับแรงกระแทกจากหลุม บ่อ อยู่หลายครั้งแต่มันยังช่วยซับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี ยางติดรถแบบ Dual-Purpose สามารถพาเราลุยขึ้นมาได้อย่างสบายๆ ที่สำคัญด้วยขนาดตัวที่ไม่ใหญ่เกินไปและน้ำหนักเบา ช่วยให้สามารถประคองรถขี่ในทางออฟโรดได้อย่างสบายๆ บอกเลยว่ามันเหมาะกับไซส์ตัวของคนเอเชียสุดๆ
แม้ว่าจะพบกับทางชันที่คดเคี้ยว และเส้นทางที่เป็น หลุม บ่อ กับสภาพอากาศเย็นตามลักษณะของภูมิประเทศอีกทั้งยังมีฝนตกปรอยๆ มาตลอดทาง สุดท้ายแล้วผมก็สามารถขึ้นมาถึงถนนที่สูงสุดอีกเส้นหนึ่งได้สำเร็จ พร้อมกับสายฝนที่เริ่มโปรยปรายเปลี่ยนมาเป็นละอองหิมะตกลงแทน เสมือนว่าคือรางวัลความสำเร็จของผู้ที่พิชิตถนนที่สูงสุดเป็นอันดับสองของโลกได้สำเร็จ! และหลังจากที่ได้พักให้หายเหนื่อยจากการขับขี่ก็ตั้งขบวนมุ่งสู่ที่พักใน ผางกงโฉ เป็นอันปิดทริปของวันนี้ในเวลา 2 ทุ่ม!
Day 5 กลับสู่จุดเริ่มต้น @Leh
สำหรับในวันนี้เราได้นอนพักผ่อนเติมพลังกันอย่างเต็มหลังจากที่ใช้เวลาขับขี่ทั้งหมด 12 ชั่วโมง เพราะในวันนี้เราจะออกเดินทางในเวลา 10 โมงเช้า เพื่อเดินทางกลับไปยังโรงแรมที่พักใน Leh ซึ่งจะต้องใช้ระยะทางทั้งหมด 175 กม. เนื่องจากเมื่อวานตอนที่เราเข้ามาถึงเส้นทางเข้าทะเลสาบผางกงโฉ ค่อนข้างมืดแล้วทำให้เราเห็นบรรยากาศโดยรอบไม่ได้ชัดเจนมากนัก แต่ในตอนที่เราออกมานั้นบอกเลยว่าถนนเส้นนี้เป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่ธรรมชาติสวยงามมากๆ ประทับใจสุดๆ เพราะเราต้องวิ่งเลียบไปกับธารน้ำที่ไหลลงมาจากบนยอดเขา และยังเป็นทุ่งหญ้าที่เต็มเหล่าบรรดาสัตว์ของชาวบ้านในพื้นที่
เสพบรรยากาศทุ่งหญ้าสไตล์ยุโรปมาแล้ว เพียงไม่นานเราก็มาถึงเส้นทาง Chang La หรือ ชาง ลา ซึ่งมีความสูงอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 5,300 ม. บนถนนเส้นนี้เป็นอีกหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยวยอดฮิตของเหล่าไบค์เกอร์เพราะตลอดเส้นทางที่เราขึ้นมานั้นเต็มไปด้วยกลุ่มรถมอเตอร์ไซค์ที่ขี่ขึ้นมาหลายร้อยคัน และยิ่งไปกว่านั้นคือประมาณ 98% เป็น Royal Enfield ตรงนี้ตอกย้ำให้เห็นชัดๆ เลยว่าเป็นแบรนด์ยอดนิยมที่รับความไว้วางใจการใช้ขับขี่ท่องเที่ยวอย่างล้นหลามจริงๆ ส่วนเส้นทางยอมรับเลยว่าค่อนข้างโหดพอสมควรเพราะเป็นทางวิบากตลอดเส้นทาง ที่สำคัญคือนอกจากเราต้องระวังรถใหญ่แล้วยังต้องคอยระวังหินที่จะร่วงลงมาจากข้างบนอีกเช่นกัน และในบางช่วงก็ยังมีหินที่ร่วงลงมาขวางเส้นทางอีกด้วย ทำให้ต้องใช้ความระมัดระวังอยู่ไม่น้อยเลย อีกทั้งเส้นทางยังมีความชันและทางที่คดเคี้ยว บอกเลยว่าถ้าร่างกายไม่พร้อมหอบแน่นอน
หลังจากที่เราบู๊กับเส้นทาง Chang La สำเร็จขบวนของทริป Moto Himalaya 2022 เข้าสู่ทางไฮเวย์มุ่งหน้ากลับไปยังโรงแรมใน Leh อย่างรวดเร็ว สิ่งแรกที่เหล่าบรรดาผู้ขับขี่ทำเมื่อเดินทางกลับมาถึงยังที่พักคือ เชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ต! เพราะการเดินทางของเราทั้งสองวันนั้น ทำให้เราถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง!
Day 6 @Tso Moriri มนต์เสน่ห์แห่ง Leh Ladakh
สำหรับการขับขี่ในวันที่ 6 เส้นทางในวันนี้ค่อนข้างที่จะขับขี่สบายๆ ซึ่งทางทีมมาร์แชลได้บรีฟเส้นทางไว้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นทางดำและเป็นทางฝุ่นนิดหน่อยประมาณ 40 กม. โดยจะเดินทางทั้งหมด 220 กม. และมีจุดหมายอยู่ที่ทะเลสาบ Tso Moriri (โซ โมริริ) ซึ่งทะเลสาบที่สูงที่สุดในระดับความสูงทั้งหมดภายในอินเดียและทั้งหมดภายในลาดักห์มีระดับความสูง 4,522 ม เหนือระดับน้ำทะเล โดยในช่วที่เราไปนั้นเป็นช่วงฤดูร้อนของที่โซ โมริริ ซึ่งจะมีอุณภูมิสูงสุดอยู่ที่ 15 -17 องศา เท่านั้นเพราะพื้นที่โดยรอบภูเขาจะถูกปกคลุมด้วยหิมะนั่นเอง ส่วนบรรยากาศของที่นี่บอกเลยว่าสวยงามสุดๆ
เมื่อเริ่มต้นออกเดินทางในเส้นทางที่ใช้เป็นทางดำลาดยางให้เราวิ่งยาวๆ เลียบไปกับแม่น้ำสินธุที่ถูกรายล้อมไปด้วยภูเขาหินไปตลอดสองข้างทาง แม้เราว่าจะขับขี่เป็นวันที่ 6 แล้วแต่เราก็ยังตื่นเต้นและเพลิดเพลินกับวิวข้างอยู่ตลอด จนเข้าสู่ทางเส้นทางวิบากในครั้งนี้เราต้องเจอกับทางน้ำไหลตัดผ่านถนน ซึ่งมีความลึกพอสมควร ทำให้เราต้องค่อยๆ ขับขี่ไปทีละคันจนถึงคิวที่ผมต้องขับขี่ ทางน้ำไหลแรงในระดับหนึ่งแต่ไม่แรงจนทำให้รถเสียอาการ จนไปถึงช่วงของกลางน้ำล้อหน้ารถของผมปีนขึ้นหินที่ใต้น้ำ ทำให้รถเสียอาการอยู่ไม่น้อยก่อนจะพยายามที่จะเหยียดเท้าลงไปเพื่อประคองรถ แต่ก็เหมือนจะไม่ทันแล้วเพราะตรงช่วงที่ล้อหน้าของรถผมลงไปเป็นจุดที่น้ำลึกที่สุด ทำให้ผมต้องสละยานออกมา และพยายามที่จะยกรถขึ้นจากน้ำ แต่ไม่สามารถยกขึ้นได้เพราะติดหิน สุดท้ายแล้วทีมงานของ Royal Enfield ต้องเข้ามาช่วยกันกู้รถขึ้นจากน้ำอยู่ประมาณ 10 นาทีจึงจะสำเร็จ ส่วนตัวผมต้องไปนั่งตากชุดที่ชุ่มฉ่ำจากการลงไปเล่นน้ำในเส้นทางนี้ และอีกเรื่องที่ถือว่าเป็นโชคดีของผมในทริปนี้ที่ใช้ถุงเท้ากันน้ำมันจึงช่วยให้ไม่ต้องทนขับขี่ในสภาพที่เท้าเปียกๆ เป็นเวลานานเพราะหลังจากเส้นยังต้องขับขี่อีกประมาณ 3 - 4 ชม.
เมื่อลุยข้ามน้ำกันมาครบเรียบร้อย ก็หยุดพักขบวนเพื่อกินข้าวกลางวันเติมพลังให้หายเหนื่อย และทีมเซอร์วิสก็จัดการดูแลอาชาคู่กายของผมเป็นที่เรียบร้อยจึงเริ่มออกสตาร์ททันที หลังจากที่เราได้ขี่จากจุดเริ่มต้นมาได้ไม่นาน ตัวรถผมเริ่มมีอาการเร่งไม่ขึ้นและเครื่องดับ ทำให้ต้องปล่อยให้ขบวนมุ่งหน้าต่อไปและจอดรอรถเซอร์วิสแต่บอกเลยว่าไม่เหงา เพราะผมอยู่คู่กับเพื่อนร่วมทริปอีกคันที่ลงไปเล่นน้ำเหมือนกันและรถก็เป็นอาการเดียวกัน เมื่อทีมเซอร์วิสมาถึงก็เริ่มจัดแจงตรวจเช็คและแก้ไขปัญหาอย่างละเอียดอีกครั้ง ซึ่งใช้เวลาแก้ไขปัญหาไม่นานประมาณ 20 นาที
หลังจากที่ทีมเซอร์วิสแก้ไขปัญหาทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงเริ่มออกเดินทางก่อนคนเดียวโดยไม่ต้องรอรถอีกคันที่กำลังเซอร์วิสอยู่ ในจุดนี้ยอมรับเลยว่ากลัวหลงทางอยู่เหมือนกัน แต่ไหนๆ ก็มาคันเดียวขอขี่ชิลๆ แวะถ่ายรูปหน่อยก็แล้วกัน เพราะเมื่อออกมาจากเส้นทางภูเขาแล้วก็ มาเจอกับเส้นทางออฟโรดที่เต็มไปด้วยทราย และวิ่งมาตามทางอยู่เรื่อยๆ ก่อนจะจอดแวะพักถ่ายรูปเพราะเห็นว่าวิวตรงนั้นมันสวยมากๆ
โดยจุดที่อยู่เมื่อมองลงไปด้านล่างจะมี ถนนลาดยางเล็กๆ ตัดผ่านพื้นทรายและด้านหลังเป็นยอดเขาสูงที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ บอกเลยว่าของจริงสูงมากๆ หลังจากผมจอดแวะถ่ายรูปมาสักระยะหนึ่งเพื่อนร่วมทริปก็ขี่ผ่านไป ผมก็เตรียมตัวเพื่อออกเดินทางอีกครั้ง ก่อนจะหันชมบรรยากาศอีกพร้อมกับสังเกตุเห็นว่า ทีมมาร์แชลที่คอยวิ่งปิดท้าย ยืนโบกมือเรียกอยู่ที่ถนนด้านล่าง ในตอนนั้นเองผมคิดในใจเลยว่าเอาแล้วอย่าบอกนะว่าเรามาผิดทาง! แต่เพื่อนเราพึ่งขี่รถผ่านเราไปยังไงก็ต้องรีบลงไปแจ้งทีมงานก่อนแล้วกัน สุดท้ายแล้วก็ต้องขี่ตัดเนินทรายลงไปบอกกับทีมงาน แต่โชคดีถนนที่เพื่อนร่วมทริปขี่ไปนั้นจะไปรวมเป็นถนนสายเดียวที่มุ่งหน้าสู่ Tso Moriri
Day 7 @Tso-Kar ทะเลสาบน้ำเค็มที่เล็กที่สุดในลาดักห์
บรรยากาศในตอนเช้าของวันที่ 7 ที่ Tso Moriri ค่อนข้างเย็นสบายและมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามสมกับ มนตร์เสน่ห์แห่ง Leh Ladakh จริงๆ เชื่อเลยว่าถ้าได้มาเห็นของจริงด้วยาตัวเองแล้วต้องลงเสน่ห์อย่างแน่นอน และในวันนี้เเราจะต้องไปยังแหล่งท่องเที่ยวสุดท้ายของทริปที่ Tso-Kar หรือ ทะเลสาบคาร์ ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงแค่ 85 กม. เท่านั้น
เมื่อเริ่มออกเดินทางด้วยระยะทางที่ไม่ไกลมากนักในวันนี้จึงได้มีโอกาสขี่รถเล่นกลางทะเลทรายกันก่อน บอกเลยว่ามันส์สุดๆ เพราะสามารถขับขี่ยังไงก็ได้ ออกแบบเส้นทางกันเอาเอง ก่อนจะไปหยุดแวะพักถ่ายรูปกันที่ Kyagar Tso ทะเลสาบน้ำกร่อยขนาดเล็ก และออกเดินทางมุ่งสู่ Tso-Kar ซึ่งเส้นทางในวันนี้ขับขี่ค่อนข้างง่ายและเป็นทางดำกับทางวิบากอย่างละครึ่ง แต่ก็ยังมีน้ำให้เราได้ลุยกันสนุกๆ ในบางช่วง ซึ่งเราใช้เวลาไม่นานในการเดินทางมาถึงยังที่พักใน Tso-Kar
หลังจากที่มาถึงยังทะเลสาบคาร์ แล้วบอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ควรมา เพราะเป็นอีกหนึ่งที่มีความสวยความทางธรรมชาติและเป็นแหล่งเกลือที่สำคัญ ซึ่งจะเห็นการจับตัวของผลึกเกลือสีขาวๆ ได้ตามขอบทะเลสาบ ส่วนในช่วงกลางคืนของที่นี่ในวันที่เราอยู่บอกเลยว่าวิวบนท้องตระการตาสุดๆ ท้องฟ้าระรานตาไปด้วยกลุ่มดาว และยิ่งไปกว่านั้นคือสามารถมองเห็น ทางช้างเผือกได้ด้วยตาเปล่า และแน่นอนว่านานๆ ที่จะได้เห็นทางช้างเผือกชัดๆ แบบนี้ก็ต้องขอถ่ายรูปคู่กันกับอาชาคู่กายไว้เป็นที่ระลึกกันสักหน่อย
Day 8 เส้นทางอันเลืองชื่อ @Taglang-La
และในวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของการขับขี่แน่นอนว่าจุดหมายปลายทางอยู่โรงแรมใน Leh ซึ่งจะต้องใช้ระยะทางทั้งหมด 165 กม. เมื่อเริ่มออกเดินทางก็พาเข้าสู่ไฮไลท์เด็ดของวันส่งท้ายด้วยการขับขี่บนพื้นที่ทะเลทราย ที่มองออกไปแล้วต้องบอกเลยว่าไกลแบบสุดลูกหูลูกตาสุดๆ แน่นอนว่าพื้นที่เปิดโล่งขนาดนี้ความเร็วที่ใช้กันอยู่ประมาณ 60-80 กม./ชม. ซึ่งถือว่าเร็วพอสมควรสำหรับทางวิบาก และจะปลอดภัยที่สุดคือการขับตามทีมมาร์แชล ถ้าหากออกนอกเส้นทางด้วยความเร็วไปเจอจุดที่ทรายนุ่มๆ รับรองว่าหน้าทิ่ม ตีลังกาแน่นอนเพราะว่าความเร็วที่ใช้ก็ไม่น้อยเลย
หลังจากตะลุยทะเลทรายอยู่ได้ไม่นานขบวนของ Moto Himalaya 2022 ก็เข้าสู่เส้นทางหลวง Leh–Manali (เลห์–มะนาลี) ซึ่งเป็นถนนลาดยางดำแบบ 2 เลนสวนกันบอกเลยว่าสวรรค์สุดๆ เพราะว่าในวันขับขี่ที่ผ่านมาเส้นทางส่วนใหญ่จะเป็นแบบเลนเดียวสวนกัน ขับขี่มาได้ไม่นานก็เริ่มเข้าสู่การไต่ระดับความสูงขึ้นตามแบบฉบับของเส้นทางในพื้นที่เทือกเขาหิมาลัยแต่เส้นทางนี้แตกต่างตรงที่ว่าเป็นทางลาดยางตลอดเส้นทาง ซึ่งขบวนของเราไต่ขึ้นไปถึงบนจุดยอดสุดที่ Taglang-La (ตาลัง ลา) มีความสูงอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 5,328 ม. และขึ้นว่าเป็นทางขึ้นลาดยางที่อยู่จุดสูงสุดอีกเส้นของประเทศอินเดียเป็นการพิชิตจุดสูงสุดท้ายของเส้นทางในวันสุดท้าย ก่อนจะมุ่งหน้าลงเขากลับสู่ที่พักในเมือง Leh ปิดทริป Royal Enfield Moto Himalaya 2022 กับการขับขี่ 8 วันเต็มๆ กับระยะทางรวม 1,117 กม.
สรุป
หลังจากที่เราได้ขับขี่ 8 วันเต็มๆ กับระยะทางรวม 1,117 กม. ด้วยเจ้า Royal Enfield Himalayan นั้นเป็นรถจักรยานยนต์แอดเวนเจอร์ทัวร์ริ่ง ตอบโจทย์ในทุกสภาพการเดินทางจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นทางดำหรือทางวิบาก ก็สามารถข้ามผ่านอุปสรรคได้อย่างง่ายได้ ด้วยพละกำลังเครื่องยนต์ขนาด 411cc. เพียงพอต่อการเดินทางหรือก้าวข้ามอุปสรรคได้อย่างแน่นอนแม้ว่าจะเป็นทางขึ้นเขาที่ลัดชัน
ในส่วนของช่วงล่างการะซับแรงกระแทกโช้คอัพหน้าทำหน้าที่ได้อย่างไร้ที่ติในทางวิบากที่เต็มไปด้วย หลุ่ม บ่อ และหิน ยางแบบ Dual-Purpose สามารถใช้ได้ตอบโจทย์ทุ้เส้นทางไม่ว่าจะเป็นทางดำหรือทางดินก็สามารถลุยได้ผ่านฉลุย ส่วนของระบบเบรกหน้า-หลัง ที่มาพร้อมกับระบบ ABS แบบ Dual Channel ไว้ใจได้หายห่วง
สุดท้ายสิ่งที่ Royal Enfield Himalayan ทำให้เรารู้สึกประทับใจอยู่ไม่น้อยเลยก็คือการควบคุมต้องยอมรับเลยว่าเป็นรถที่ควบคุมได้ง่ายมากๆ เพราะท่านั่งขับขี่แบบหลังตรงกับตำแหน่งแฮนด์ที่โน้มเข้าหาผู้ขับขี่ช่วยให้ไปตามติดทางที่ต้องการได้อย่างสบายๆ อีกทั้งตัวรถยังมีน้ำหนักเบาเพียง 185 กก. และมีความสูงจากพื้นถึงเบาะเพียงแค่ 800 มม. จึงทำให้การพลิกเลี้ยวและการควบคุมรถในท่ายืนขับขี่ทำได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้อีกหนึ่งความประทับใจเลยคือความถึก ทน ของเครื่องยนต์ต้องให้เต็มสิบเลยเพราะว่า ถึก ทน จริงๆ แม้ว่าจะถูกแช่น้ำมานานกว่า 10 นาที แต่ใช้เวลาเซอร์วิสไม่นานก็สามารถขับขี่ต่อได้อย่างไร้ปัญหา
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณ Royal Enfield ที่ได้เชิญ BoxzaRacing เข้าร่วม Moto Himalaya 2022 ทริปขี่รถจักรยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของ Royal Enfiled และหากเพื่อนๆ สนใจอยากมาร่วมขับขี่ทริประดับโลกแบบนี้ก็สามารถติดตามหรือสอบถามข้อมูลได้ที่เฟซบุ๊คเพจ Royal Enfield หรือเว็บไซต์ www.royalenfield.com และอินสตาแกรม royalenfieldth บอกเลยว่าถ้าได้มาขับขี่ทริป Moto Himalaya นอกจากได้ประสบการณ์บนเส้นทางธรรมชาติที่สวยงามแล้ว ยังได้มิตรภาพดีๆ จากผู้เข้าร่วมขับขี่ในทริปอีกด้วย รับรองว่าคุ้มค่าและไม่ผิดหวังแน่นอน!