Royal Enfield เดินเกมในตลาดมอเตอร์ไซค์อย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ทางผู้บริหารออกมายืนยันอย่างหนักแน่นแล้วว่า เตรียมเปิดสายการผลิตมอเตอร์ไซค์ Royal Enfield ในประเทศไทยช่วงต้นปี 2021 พร้อมยืนยันนโยบาย โฟกัสการทำมอเตอร์ไซค์ในสไตล์คลาสสิคอย่างชัดเจน ไม่เปลี่ยนแนวทางในการพัฒนารถในค่ายอย่างแน่นอน โดยนอกจากนี้ยังได้จัดทริปเชิญชวนสื่อมวลชนร่วมสัมผัสสมรรถนะของ Royal Enfield Himalayan 2020 ในรูปแบบ Adventure ณ เขาไผ่ จ.ชลบุรี อีกด้วย
Royal Enfield Himalayan ได้รับการออกแบบโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเรียบง่าย ไม่มีระบบอิเล็คทรอนิคส์ที่ซับซ้อน เน้นการขับขี่ในงานในทุกวันในหลากหลายรูปแบบ ทั้ง On Road และ Off Road ด้วยความสูงจากพื้นที่มากถึง 220 มม. กับชุดล้อหน้าแบบ 21 นิ้ว ล้อหลัง 17 นิ้ว ตามแบบฉบับรถลุยพันธุ์แท้ โดย Royal Enfield Himalayan เวอร์ชั่นปี 2020 ได้รับการอัพเกรดขุมพลัง LS410 ให้สามารถรองรับมาตรฐาน Euro 4 ซึ่งให้ประสิทธิภาพในการเผาไหม้ที่หมดจด ประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น รวมทั้งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลง โดยสิ่งที่ยังคงความโดดเด่นเลยก็คือ เรื่องของแรงบิดที่ทำได้ดีตั้งแต่ในรอบต่ำ และสามารถเรียกมาใช้งานได้ค่อนข้างต่อเนื่อง ตามสไตล์ของเครื่องสูบเดียวที่มาในพิกัดถึง 411 ซีซี.
การเดินทางของทริป Royal Enfield Himalayan 2020 ครั้งนี้ เริ่มออกสตาร์ทตั้งแต่โชว์รูม Royal Enfield ทองหล่อ ในรูปแบบ Free Run เจอกันที่จุดนัดพบ มุ่งหน้าสู่โชว์รูม Royal Enfield พัทยา ก่อนที่จะไปลุยกันต่อในรูปแบบ Adventure แท้ๆ ที่เขาไผ่ จ.ชลบุรี ผมรับรถทดสอบมาในขณะที่เข็มน้ำมันตกขีดแดง ตั้งใจที่จะลองอัตราสิ้นเปลืองของ Royal Enfield Himalayan 2020 ว่าเข็มน้ำมันตกขนาดนั้น จะสามารถวิ่งได้ไกลแค่ไหน ทันทีที่เริ่มออกเดินทาง บนมาตรวัดก็เริ่มนับถอยหลังระยะทางที่วิ่งได้เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงที่มีอยู่ในถัง งานนี้ดูจะออกแบบพลีชีพ แต่ถือว่าลองให้รู้จริง ที่เขาว่า...Royal Enfield Himalayan นั้นประหยัดสุดๆ และมีอัตราการสิ้นเปลืองเฉลี่ยไม่เกิน กม. ละ 1 บาท มันจะจริงไหม ผมรวมถึงผู้ร่วมทริปคนอื่นๆ ขี่ไปเรื่อยๆ ด้วยความเร็วยืนพื้นในระดับ 110-120 กม./ชม. เครื่องยนต์ให้การตอบสนองที่ดี ไร้ซึ่งอาการสั่นเหมือนที่เคยเจอจากเครื่องยนต์ตระกูล 500 (มีแหละ...แต่อยู่ในจุดที่รับได้) ถือว่า Royal Enfield ทำการบ้าน และแก้ไขจุดบกพร่องตรงนี้ได้ดี การฟันฝ่าการจราจรที่แออัดทำได้อย่างคล่องตัว ด้วยกำลังที่พอเหมาะ และขนาดของตัวรถที่ไม่ใหญ่จนเกินไป
ขี่เพลินๆ ไม่นานก็ผ่าน จ.ชลบุรี มุ่งหน้าสู่ อ.ศรีราชา ณ เวลานี้ ตัวเลข Count Down บนหน้าปัดขึ้นไปกว่า 100 กม. ใจคอเริ่มไม่ดีจึงแวะเพื่อเติมเชื้อเพลิงให้กลับมาอยู่ในระดับปกติ ซึ่งหากเทียบไปแล้ว กับน้ำมันติดก้นถัง เริ่มนับถอยหลังตั้งแต่ออกเดินทาง มาได้ไกลกว่า 100 กม. ก็คือว่า ต้องยอมรับในเรื่องความประหยัด ในชีวิตจริงคงไม่มีใครเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นเพื่อเพิ่มความเสี่ยงให้กับตัวเอง แต่อย่างน้อยก็พออุ่นใจได้ว่า ในยามจำเป็นที่ต้องเดินทางไกลๆ แบบไม่มีปั๊มน้ำมัน ถังความจุ 15 ลิตร ของ Royal Enfield Himalayan สามารถเดินทางในระดับกว่า 300 กม. ได้แบบสบายๆ ถือว่าประหยัดแบบหาตัวจับได้ยาก ซึ่งหากใช้เดินทางไกลๆ ในป่าในเขา ยิ่งจะเห็นประโยชน์ข้อนี้ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
เจอสภาพทางแบบนี้ ต้องบอกว่า...ไม่ง่าย
ความท้าทายในการขี่เส้นทางเขาไผ่ ต้องบอกว่าอยู่ในระดับสูงเกินจินตนาการ โดยเป็นที่ราบสูงสลับเนินชันพื้นดินทรายที่ค่อนข้างร่วน บวกกับร่องถนนที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำฝน ซึ่งบางร่องมีความลึกกว่า 1 เมตร เลยทีเดียว ประเมินจากสภาพเส้นทางแล้ว ว่ากันตามตรง...หากใช้รถในรูปแบบ Enduro หรือรถวิบากแท้ๆ ดูจะเหมาะกว่ารถที่มาในรูปแบบ Dual Purpose ใช้ลุยก็ได้ วิ่งทางดำก็ดี อย่าง Royal Enfield Himalayan ที่เน้นการขับขี่ในสภาพเส้นทางที่หลากหลาย แต่อาจไม่ได้สุดไปในด้านใดด้านหนึ่งเช่นนี้ แต่เมื่อถึงหน้างานแล้ว เราก็แค่ต้องทำให้เต็มที่ และนำพารถคู่ใจไปยังจุดหมายที่วางไว้...ก็เท่านั้นเอง
ความโดดเด่นของ Royal Enfield Himalayan 2020 อยู่ที่เรื่องของแรงบิดที่มีมาให้ใช้ในช่วงกว้าง เครื่องยนต์พร้อมตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอในทันทีที่บิดคันเร่ง ด้วยช่วงเกียร์ที่ค่อนข้างยาว ทำให้มีความยืดหยุ่นในแต่ละช่วงเกียร์ที่ดีกว่า (5 สปีด...แต่ก็อาจจะเสียเรื่องอัตราทดในย่านความเร็วปลายไปบ้าง ความเร็ว 130 กม./ชม. รอบสูงจนเกือบถึง Red Line) ซึ่งถือว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับพื้นที่ที่มีความชันและค่อนข้างร่วนเช่นนี้ เช่นเดียวกับในส่วนของยางที่ติดมากับตัวรถ แม้จะไม่ใช่ยางที่มาในรูปแบบวิบากแท้ๆ เป็นยาง Pirelli MT60 ที่มาในรูปแบบ All Terrian แต่ก็ถือว่าเพียงพอที่จะทำพา Royal Enfield Himalayan 2020 ไปยังจุดหมายได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยองค์ประกอบของตัวรถที่ถือว่ากำลังเหมาะสม มีขนาดที่ไม่ใหญ่ หรือน้ำหนักที่มากเกินจะควบคุม (อาจมากไปนิดสำหรับการขี่ในทางที่ต้องลุยแบบนี้ แต่ทางค่ายก็มีจุดหมายชัดเจน เรื่องการเน้นความทนทาน แข็งแกร่งเป็นหลัก) เบาะนั่งมีความสูงจากพื้น 800 มม. อาจจะดูเหมือนว่าลุยได้ไม่โหดมากนัก แต่สำหรับคนรูปร่างไม่สูง กลับช่วยให้ขี่ประคองทรงได้ง่ายขึ้นตามไปด้วย เช่นเดียวกับในส่วนของช่วงล่างที่นิ่มนวลกำลังดี เซ็ตมาแบบกลางๆ เพื่อการใช้งานได้ 2 รูปแบบ ทั้งบนถนน รวมถึงขี่ในทางออฟโร๊ด
สิ่งสำคัญของการเข้าป่า คือ การมีพันธมิตรที่ดีคอยช่วยเหลือ
การเดินทางในรูปแบบนี้ มีข้อแม้อย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการเดินทางเข้าป่าฝ่าดงเช่นนี้ นั่นก็คือ การที่คุณต้องมีทีมผู้ร่วมเดินทางที่พร้อมจะสนับสนุน ช่วยเหลือกันตลอดเวลา สิ่งนั้นเองเป็นหัวใจหลักที่จะช่วยให้การฟันฝ่าอุปสรรค การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทำได้ง่ายยิ่งขึ้น และแน่นอนว่า ย่อมมีสิ่งต้องห้ามสำหรับการเดินทางในรูปแบบนี้ นั่นก็คือ การเดินทางด้วยตัวคนเดียว เพราะจะไม่มีผู้ที่คอยช่วยเหลือเวลาที่เกิดเหตุการณ์คับขันนั่นเอง ซึ่งงานนี้คงอดที่จะขอบคุณเพื่อนสื่อมวลชน รวมถึงทีมงานของ Royal Enfield ผู้ร่วมชะตากรรมในครั้งนี้ไม่ได้
กว่าจะได้ออกจากป่าเขาไผ่ ก็ได้เวลาพลบค่ำ แต่ชาวคณะ Royal Enfield Himalayan 2020 ยังคงต้องเดินทางต่อในสภาพแสงที่ไม่เป็นใจ แต่ก็คงไม่ใช่ปัญหา เพราะแม้ว่า Royal Enfield Himalayan 2020 จะเน้นความเป็นมอเตอร์ไซค์สไตล์มินิมอล แต่ก็ยังมีลูกเล่นเพื่อความปลอดภัยอย่างระบบไฟหน้าสว่างอัตโนมัติ (Automatic Headlamp On) ที่ช่วยส่องนำทางไปยังจุดหมายได้อย่างปลอดภัย จบทริปวันนี้ด้วยความรู้สึกประทับใจในตัว Royal Enfield Himalayan 2020 ว่าสามารถไปได้ไกล เข้าได้ลึกกว่าที่จินตนาการไว้ ทั้งกับการขับขี่บนถนนที่ให้ความสนุก คล่องตัว มั่นใจ รวมถึงการขับขี่ในเส้นทางออฟโร๊ดที่ไม่ได้จินตนาการไปไกลขนาดที่ว่าจะต้องเอารถแนวแอดเวนเจอร์ไปลุยอะไรโหดๆ กันขนาดนี้ แต่ผลที่ออกมาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า Royal Enfield Himalayan 2020 นั่น ลุยได้ดีและตอบโจทย์การใช้งานได้หลากหลายเกินกว่าที่คิดจริงๆ เทียบกับค่าตัว 169,800 บาท ต้องบอกว่า "มีแววคุ้มค่า" เหมาะกับไบค์เกอร์สาย "เน้นทรง...ไม่เน้นสุด" เป็นอย่างยิ่ง
สเปค Royal Enfield Himalayan 2020
-เครื่องยนต์
สูบเดียว 4 จังหวะ SOHC ระบายความร้อนด้วยอากาศ 411 ซีซี. พละกำลัง 24.5 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิด 32 นิวตันเมตรที่ 4,250 รอบต่อนาทีมาตราฐานไอเสียยูโร 4
-แชสซีส์
โครงสร้างตัวถัง Half Duplex Split Cradle Frame
ระบบกันสะเทือนหน้า เทเลสโกปิก (Telescopic) ขนาดตะเกียบหน้า 41 มม. ระยะยุบตัว 200 มม.
ระบบกันสะเทือนหลัง โมโนช็อคแบบมีแขน (Monoshock with Linkage) ระยะยุบตัว 180 มม.
-เบรกและยาง
ยางหน้า : 90/90-21
ยางหลัง : 120/90-17
เบรกหน้า : ดิสก์เบรก 300 มม. คาลิปเปอร์เบรก 2 สูบ (Floating Caliper)
เบรกหลัง : ดิสก์เบรก 240 มม. คาลิปแปอร์เบรก 1 สูบ (Floating Caliper)
ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (Anti-lock Braking System หรือ ABS) แบบ Dual Channel
-มิติตัวถัง
2190 มม. x 840 มม. x 1360 มม.
ความจุถังน้ำมัน : 15 ลิตร +/- 0.5 ลิตร
น้ำหนักตัวถัง : 191 มม.
ระยะห่างจากพื้น : 220 มม.
-ระบบไฟฟ้า
12 โวลต์ DC แบตเตอรี่ : 12 โวลต์ 8 แอมป์ / ชั่วโมง
ระบบไฟส่องสว่างอัตโนมัติ (Automatic Headlamp On หรือ AHO)
Royal Enfield Himalayan 2020 ราคา 169,800 บาท