เขียนโดย: Pajingo

เมื่อ: 4 เมษายน 2562 - 09:45

Royal Enfield Twin Test Ride ลบทุกความจำที่เคยสัมผัสมา สู่ฟีลลิ่งใหม่ ที่ ว้าว ! สุดพลัง

 

          Royal Enfield หนึ่งในแบรนด์มอเตอร์ไซค์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเป็นอันดับต้นๆ ในโลก ได้เปิดตัวมอเตอร์ไซค์คลาสสิคมิดเดิ้ลไซส์ 2 รุ่นใหม่ ให้ไบค์เกอร์ชาวไทยได้สัมผัสในช่วงปลายปี 2018 โดยปล่อยทีเด็ดออกมาให้แฟนๆ ได้เลือกกันถึง 2 รุ่น นั่นก็คือ Royal Enfield Continental GT 650 (รอยัล เอนฟิลด์ คอนติเนนทัล จีที 650) และ Royal Enfield Interceptor INT 650 (รอยัล เอนฟิลด์ อินเตอร์เซ็ปเตอร์ ไอเอ็นที 650) ซึ่งทันทีที่เปิดตัว ก็ถือว่าเรียกเสียงฮอฮาได้ไม่น้อย เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกที่ทาง Royal Enfield ผลิตมอเตอร์ไซค์เครื่องยนต์ 2 สูบ ออกมาจำหน่าย นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1970 

 

Royal Enfield Continental GT 650

 

Royal Enfield Interceptor INT 650

 

            สำหรับ Royal Enfield Continental GT 650 และ Interceptor INT 650 เป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานเดียวกัน แม้ว่าในเรืี่องดีไซน์จะยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ แต่เรื่องเทคโนโลยีต่างๆ นั้น ล้วนได้รับการพัฒนาให้ทันสมัย ภายใต้ความร่วมมือจากทีมนักพัฒนาของ Royal Enfield ในประเทศอินเดีย และศูนย์เทคโนโลยี Bruntingthorpe ที่ทันสมัยที่สุดในสหราชอาณาจักร  นั่นเองทำให้ Royal Enfield ทั้ง 2 รุ่น มีความพิถีพิถันบนความเรียบง่าย และให้ความสนุกสนานในการขับขี่เป็นสำคัญ โดยมาพร้อมโครงสร้างเปลคู่ที่ให้ความแข็งแรงสูง สามารถทนต่อแรงบิดได้ดี ถังน้ำมันมาในดีไซน์ที่แตกต่างกันระหว่างทั้ง 2 รุ่น โดย Continental GT 650 มาพร้อมความจุ 12.5 ลิตร ระยะฐานล้อ 1,398 มม. ความสูงเบาะ 793 มม. และน้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 198 กก. ไม่รวมเชื้อเพลิง ส่วน Interceptor INT 650 มาพร้อมความจุที่สูงกว่าเล็กน้อย คือ 13.7 ลิตร ระยะฐานล้อ 1,400 มม. ความสูงเบาะ 804 มม. และน้ำหนักตัวรถอยู่ที่ 202 กก. ไม่รวมเชื้อเพลิง แม้ว่าตัวเลขจะต่างกันอยู่เล็กน้อย แต่เชื่่อว่าภาพรวมของทั้ง 2 รุ่น จะยังคงคล้ายคลึงและออกมาในทิศทางเดียวกัน

 

ขุมพลังพิกัด หกแรงครึ่ง พลิกโฉมความเป็น Royal Enfield ที่เราเคยได้สัมผัส

 

 

              นอกจากเครื่องยนต์จะเป็นหัวใจหลักแห่งการขับขี่แล้ว สำหรับ Royal Enfield Continental GT 650 และ Interceptor INT 650 นั้น ยังถือว่าเป็นประเด็นร้อนแบบสุดๆ ที่ไบค์เกอร์ให้ความสนใจอีกด้วย แน่นอนว่าคำถามที่หลายๆ คนสงสัย คงหนีไม่พ้นความคาใจที่ว่า ยังสั่นอยู่ไหม ? เนื่องจากในเจนเนอเรชั่น 500 ซีซี. ของทางค่ายนั้น ขึ้นชื่อเรื่องแรงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในรอบสูงๆ สำหรับเครื่องยนต์บล็อคใหม่ล่าสุดของ Royal Enfield มาในรูปแบบ 2 สูบเรียง SOHC 4 วาล์ว/สูบ จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด พิกัด 648 ซีซี. ความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชัก อยู่ที่ 78 x 67.8 มม. ระบายความร้อนด้วยอากาศ ซึ่งการเลือกใช้ระบบระบายความร้อนแบบนี้ิ ทางค่ายให้เหตุผลว่า ต้องการรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้ให้มากที่สุด โดยจุดไฮไลท์อยู่ที่การออกแบบเลย์เอาท์การจุดระเบิดที่ต่างกัน 270 องศา เช่นเดียวกับที่แบรนด์ชั้นนำหลายๆ ค่ายนิยมใช้ในปัจจุบัน เครื่องยนต์บล็อกนี้ มาพร้อมอัตราส่วนกำลังอัด 9.5 : 1 ให้กำลังสูงสุด 47 แรงม้า ที่ 7,250 รอบ/นาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 52 นิวตัน-เมตร ที่ 5,250 รอบ/นาที โดย 80% ของแรงบิดสูงสุด สามารถเรียกออกมาใช้งานได้ตั้งแต่ 2,500 รอบ/นาที เลยทืีเดียว ด้านระบบส่งกำลังมาในรูปแบบเกียร์เดินหน้าแบบ 6 สปีด ครั้งแรกของแบรนด์ Royal Enfield ที่ให้อัตราทดในช่วงกว้าง พร้อมตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย พร้อมสลิปเปอร์คลัทช์

 

 

              ช่วงล่างของ Royal Enfield Continental GT 650 และ Interceptor INT 650 มาพร้อมโช้กอัพหน้าแบบเทเลสโคปิคแกน 41 มม. ระยะยุบ 110 มม. จับคู่กับชุดคาลิเปอร์จาก Bybre (แบรนด์ลูกของ Brembo) แบบ 2 POT และจาน Floating ขนาด 320 มม. ทำงานร่วมกับ ABS จาก Bosch ส่วนโช้กอัพหลังมาในแบบคู่ระยะยุบ 88 มม. สามารถปรับพรีโหลดได้ตามน้ำหนักถึง 5 ระดับ เบรกหลังมาพร้อมคาลิเปอร์ 2 POT จับคู่จาน 240 มม. พร้อม ABS เช่นกัน ล้อที่ใช้เป็นแบบซี่ลวด + ยางใน ขนาด 18 นิ้ว ด้านหน้ารัดด้วยยาง 100/90 และด้านหลัง 130/70 

 

 

            การขับขี่ Royal Enfield Continental GT 650 และ Interceptor INT 650 ในครั้งนี้ ทางค่ายเลือกใช้เส้นทางจาก จ.ภูเก็ต มุ่งหน้าสู่ จ.พังงา ในเส้นทางที่มีภูมิประเทศต่างกัน ระยะทางไป - กลับ ราว 220 กม. โดยใช้วิธีจับฉลากแบ่งสื่อมวลชนออกเป็น 2 กรุ๊ป ตามรุ่นรถ ก่อนที่จะสลับรถและขี่อีกหนึ่งรุ่นกลับในช่วงบ่าย ซึ่งทางผู้ขับขี่จาก BoxzaRacing นั้น จับฉลากประเดิมด้วย Royal Enfield Interceptor INT 650 ก่อน เส้นทางในช่วงนี้ต้องบอกว่าชิลล์ๆ ตามสไตล์ขี่รถเลียบชายทะเล เดินวนดูองค์ประกอบของตัวรถ ต้องยอมรับเลยว่าทาง Royal Enfield ทำการบ้านมาได้ดีจริงๆ วัสดุที่เลือกใช้ รวมถึงงานประกอบ เรียกได้ว่าดูดีขึ้นกว่าที่ผู้เขียนเคยได้เห็นแบบผิดหูผิดตา สัมผัสแรกจากการได้คร่อม Royal Enfield Interceptor INT 650 นั้น ถือว่าเป็นไปตามคาด ด้วยมิติตัวรถที่ไม่ใหญ่หรือสูงมากนัก ทำให้ผู้ขับขี่ไซส์มาตรฐานชายไทยทั่วไป ไม่รู้สึกว่ากังวลหรือประหม่าอะไร แม้ว่าตัวรถจะมีน้ำหนักกว่า 200 กก. แต่กลับไม่รู้สึกว่าเป็นอุปสรรค ท่านั่งออกแบบมาให้ผู้ขับขี่รู้สึกผ่อนคลาย แฮนด์ยกสูง ไม่ต้องโน้มตัวไปด้านหน้า พักเท้าไม่เยื้องหลัง เหมาะกับการขับขี่ทั่วๆ ไปแบบสบายๆ

 

 

            สัมผัสแรกของการสตาร์ทเครื่องยนต์ ในช่วงรอบเดินเบาบอกได้เลยว่า มาเงียบๆ ไม่รู้สึกหวือหวามากนัก แต่พอบิดคันเร่งเท่านั้นแหละ รู้สึกถึงพละกำลังที่ซ่อนอยู่ขึ้นมาเลยทีเดียว สุ้มเสียงดูดีมีระดับตามสไตล์เครื่องยนต์ 270 องศา เหลือบไปเห็นรถทีมงานบางคันที่มีการเปลี่ยนปลายท่อมาแล้ว บอกได้เลยว่าดุดันสุดๆ ครับ เสียงออกเป็นลูกๆ ถี่ๆ คล้ายๆ กับเครื่อง L-Twin หรือ Crossplane อะไรเบอร์นั้น (ด้วยพิื้นฐานการจุดระเบิดที่เหมือนกัน) ความร้อนของเครื่องยนต์อยู่ในระดับปกติ ไม่แผ่ออกมาสร้างความรำคาญที่หน้าแข้งเหมือนรถที่มาในรูปแบบ Air Cooled ทั่วๆ ไป กำคลัทช์เตะเกียร์ครั้งแรกต้องบอกว่าแอบตกใจเล็กๆ เพราะคลัทช์นั้นนุ่มมือมาก ส่วนหนึ่งคงต้องยกเครดิตให้กับชุดสลิปเปอร์คลัทช์ ออกตัวเบาๆ กำคันเร่งช่วยเล็กน้อยแค่พอเป็นพิธี ด้วยแรงบิดที่เหลือเฟือ ผสานกับอัตราทดเกียร์ที่ให้มาค่อนข้างยาว ช่วยให้การขับขี่ในสภาพการจราจรที่แออัดไม่ต้องคอยเปลี่ยนเกียร์ขึ้น - ลง บ่อยครั้ง เส้นทางในช่วงนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นทางแคบสลับชุมชน ทำให้ต้องเร่งๆ หยุดๆ หลายครั้ง ซึ่งด้วยความคล่องตัวของ Royal Enfield Interceptor INT 650 ต้องบอกว่าผ่านฉลุย ด้วยความคล่องตัว บวกกับแรงบิดเหลือๆ ทีี่มีมาให้ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้อุปสรรคที่ต้องเจอกลายเป็นความสนุกไปโดยปริยาย เบาะนั่งมีความนุ่มนวล เช่นเดียวกับในส่วนของช่วงล่างทั้งหน้าและหลัง ช่วยบรรเทาความเมื่อยล้าจากการขับขี่ ออกทริปกันยาวๆ บอกได้เลยว่าไปได้เรื่อยๆ ยาวๆ ขี่ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ใช้รอบ 4,000 รอบ/นาที และขี่ความเร็ว 120 รอบเครื่องยนต์อยู่ที่ 4,600 รอบ/นาที ที่เกียร์ 6 ด้วยรอบเครื่องที่ไม่สูงมากเช่นนี้ การออกทริปเดินทางแบบไม่เค้นคันเร่งมากนัก ดูแล้วก็น่าจะประหยัดได้พอสมควรเลยทีเดียว

 

 

            มีในบางช่วงที่ได้ลองวิ่งบนไฮเวย์ Royal Enfield Interceptor INT 650 ก็สามารถทำความเร็วได้อย่างน่าประทับใจ สร้างอัตราเร่งได้อย่างต่อเนื่อง ดึงแบบพอสนุกในทุกๆ เกียร์ และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้กว่า 170 กม./ชม. ซึ่งหลังจากลองแช่ความเร็วสูงๆ ในรอบเครื่องโหดๆ ที่ 6-7,000 รอบ/นาที (Red Line อยู่ที่ 7,500 รอบ/นาที) สิ่งที่สร้างความประทับใจอย่างยิ่งเลยก็คือ เรื่องของแรงสั่นสะเทือนที่หายไป ไม่รู้สึกว่าสั่นจนสร้างความรำคาญ หรือสร้างความเมื่อยล้าให้กับผู้ขับขี่ มือไม่มีชาเลยตลอดการขับขี่กว่า 100 กม. ในช่วงแรก ช่วงล่างกับการเข้าโค้งรูปแบบต่างๆ ก็ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีพอตัว สายออกทริป สายเดินทาง น่าจะถุกอกถุกใจกันไม่น้อย แต่...ข้อควรระวังอย่างยิ่งก็คือ หากใช้ความเร็วสูงในระดับ 150 กม. ขึ้นไป ตัวรถอาจมีอาการดิ้นไปบ้าง ต้องใช้ทักษะของผู้ขับขี่ที่สูงขึ้น หรือติดตั้งตัวช่วยอย่างกันสะบัด ก็น่าจะบรรเทาอาการนี้ลงไปได้ แต่สิ่งที่อยากจะแนะนำแบบสุดๆ ก็คือ ขี่ชิลล์ๆ ด้วยความเร็วที่ปลอดภัยตามกฎหมายกำหนดจะเป็นทางออกที่เหมาะสมกว่าครับ

 

 

             หลังจากที่รับประทานอาหารกลางวันเป็นที่เรียบร้อย ก็ได้เวลาของการสลับรถมาลองขี่ Royal Enfield Continental GT 650 กันบ้าง โดยไฮไลท์ของเส้นทางการขับขี่ในช่วงนี้ อยู่ที่ความท้าทายของการไต่ระดับความสูงชันและคดเคี้ยวของเขานางหงส์ ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพละกำลังของเครื่องยนต์บล็อกล่าสุดจาก Royal Enfield รวมถึงความนิ่งของช่วงล่างได้เป็นอย่างดี โดยความได้เปรียบของ Royal Enfield Continental GT 650 ที่เหนือกว่าเพื่อนร่วมค่ายอย่าง Interceptor INT 650 ในการขับขี่ภายใต้สภาพเส้นทางแบบนี้ก็คือ ด้วยการออกแบบตัวรถในสไตล์ Cafe Racer ส่งผลให้การจัดท่าทางที่เหมาะสมกับการขับขี่ในรูปแบบเส้นทางเช่นนนี้ ทำได้ง่ายกว่า คือ สามารถโหนเข้าโค้งได้สะดวกและให้ความรู้สึกที่กระชับกว่านั่นเอง เรื่องของพละกำลังคงไม่ต้องสาธยายอะไรกันให้มากความ แรงบิดในรอบต่่ำและอัตราเร่งที่ต่อเนื่อง ยังคงเป็นอาวุธเด็ดของเครื่องยนต์บล็อคใหม่ของค่ายนี้ ช่วยให้การใต่ไล่ระดับความชันทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ไม่ต้องกังวลกับการไล่เกียร์ลงต่ำเพื่อเรียกแรงบิด การเข้าโค้งในย่านความเร็วปานกลาง ให้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะที่ดีในระดับที่น่าพอใจ ด้วยช่วงล่างที่เหมือนจะเซ็ทมาให้หนึบ แน่นกว่า Interceptor INT 650 ที่ได้ลองขี่ในช่วงเช้า ซึ่งหากเป็นผู้ที่มีความชำนาญ หรือมีทักษะในการขี่รถแนวเรซซิ่ง การช่วยโหนเพื่อถ่ายน้ำหนัก จะช่วยให้การเข้าโค้งทำได้อย่างสมดุล และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 

 

 

            นอกเสียจากเครื่องยนต์แล้ว อีกองค์ประกอบหนึ่งที่ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีก็คือ ระบบเบรก ที่สามารถสยบความเร็วของ Royal Enfield Continental GT 650 รวมถึง Interceptor INT 650 ได้แบบอยู่หมัด ยืนยันได้จากการลงเขานางหงส์ที่ต้องใช้เบรกช่วยในการลดความเร็วเพื่อแต่งอาการก่อนเข้าโค้ง แม้ว่าจะใช้เบรกอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่มีอาการเฟดให้เห็น รวมถึงการขี่ไฮเวย์ในย่านความเร็วสูง หวดส่งท้ายกันแบบไม่ยั้ง มีเท่าไหร่ใส่ให้หมด แล้วต้องเบรกอย่างกะทันหัน ระบบเบรกของ Royal Enfield ทั้ง 2 รุ่น สามารถสร้างแรงในการเบรกได้แบบเกินตัว ไม่มีอาการสะบัด ดึงซ้าย หรือวูบให้เห็น แต่ถ้าหากจะให้มีประสิทธิภาพสูงสุด การใช้เบรกหน้า- หลัง ร่วมกับ Engine Brake จากเครื่องยนต์ ย่อมให้ผลลัพท์ที่ดีที่สุด ซึ่งข้อดีอีกอย่างของ Royal Enfield Twin ก็คือ การมีระบบ Slipper Clutch ที่ช่วยลดแรงกระชากขณะลดเกียร์อย่างรวดเร็ว ทำให้ในยามที่ผู้ขี่ตบรวบเกียร์ จะไม่เกิดอาการล็อคที่ล้อหลัง ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ได้อีกขั้น

 

 

              นับเป็นการพัฒนาที่เรียกได้ว่า เหนือความคาดหมาย สำหรับการกลับมาครั้งนี้ของ Royal Enfield กับขุมพลังบล็อคล่าสุด ที่แม้จะมาพร้อมดีไซน์ที่ยังคงความคลาสสิค แต่แอบใส่เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าไปมากมาย ซึ่งช่วยยกระดับประสิทธิภาพของการขับขี่ขึ้นมาได้แบบผิดหูผิดตา งานนี้ึคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ด้วยราคาในระดับ 2 แสนนิดๆ กับความโดดเด่น คุ้มค่ามากมายขนาดนี้ Royal Enfield Twin จึงเป็นมอเตอร์ไซค์ที่ไร้คู่แข่งจริงๆ ครับ

 

 

Royal Enfield Continental GT 650

Royal Enfield Continental GT 650 รุ่น Standard ราคา 221,000 บาท

Royal Enfield Continental GT 650 รุ่น Custom ราคา 223,700 บาท

Royal Enfield Continental GT 650 รุ่น Chrome ราคา 226,000 บาท

 

 

Royal Enfield Interceptor INT 650

Royal Enfield Interceptor INT 650 รุ่น Standard ราคา 213,000 บาท

Royal Enfield Interceptor INT 650 รุ่น Custom ราคา 215,000 บาท

Royal Enfield Interceptor INT 650 รุ่น Chrome ราคา 218,000 บาท

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook