Triumph Scrambler 1200
Triumph Motorcycle Thailand เปิดประสบการณ์ครั้งสำคัญ โดยเชิญชวน BoxzaRacing พร้อมสื่อมวลชนชั้นนำจากประเทศไทย เข้าร่วมทดลองขับขี่มอเตอร์ไซค์คลาสสิคสายลุยรุ่นล่าสุด ที่เพิ่งเปิดตัวไปแบบสดๆ ร้อนๆ อย่าง Triumph Scrambler 1200 ณ กรุงฟาโร ประเทศโปรตุเกส ซึ่งนี่ถือเป็นครั้งแรกที่ถือมวลชนจากเอเซียแปซิฟิก จะได้สัมผัสถึงสมรรถนะอันโดดเด่นของมอเตอร์ไซค์รุ่นนี้อย่างเต็มอิ่ม บนเส้นทางและภูมิประเทศที่มีความหลากหลายในดินแดนใต้สุดของทวีปยุโรป
ไฟหน้า ไฟท้าย LED ที่ผสานดีไซน์กับฟังค์ชั่นการใช้งานไว้อย่างลงตัว
ถังน้ำมันทรงหยดน้ำ เอกลักษณ์หนึ่งของมอเตอร์ไซค์แนว Scrambler
เบาะนั่ง SCR Seat นั่งสบายภายใต้การตัดเย็บอย่างประณีต
สำหรับ Triumph Scrambler 1200 เป็นมอเตอร์ไซค์ที่ที่สายตำนานความเก๋ามาตั้งแต่ในยุค Sixty ภายใต้ความโดดเด่นตั้งแต่หัวจรดท้าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดีไซน์ ที่ผสานอารมณ์ความคสาสสิค และความดุดันสไตล์แอดเวนเจอร์เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ในแบบฉบับความเป็นมอเตอร์ไซค์อเนกประสงค์ โดยแม้ว่าภาพลักษณ์โดยรวมจะยังดูคลาสสิค แต่องค์ประกอบส่วนใหญ่นั้น ล้วนถูกปรับให้มีความทันสมัยเพื่อรองรับการใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เช่น การใช้ระบบส่องสว่างที่มาในรูปแบบ LED ทั้งหมด ถังน้ำมันมาในรูปทรงหยดน้ำความจุ 16 ลิตร พร้อมเบาะแบบ SCR Seat ที่ออกแบบมาให้นั่งสบาย ผสานกับแฮนด์บาร์ความกว้างกำลังพอเหมาะ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถจัดท่าทางการนั่งได้ง่าย เดินทางสบายๆ และควบคุมรถได้อย่างมั่นใจ โดยทุกองค์ประกอบนั้น ถูกบรรจงปั้นแต่งอย่างประณีต ด้วยวัสดุชั้นดี ผสานงานประกอบที่มีมาตรฐานสูง อันเป็นสิ่งที่ทางค่าย Triumph ให้ความใส่ใจเป็นลำดับต้นๆ
ขุมพลังพิกัด 1.2 ลิตร โดดเด่นเรื่องแรงบิด ขยับนิดเป็นมา !
โหดเกินคำบรรยาย กับท่อไอเสียดีไซน์นี้
ระบบกุญแจ Key Less เติมความสะดวกยามใช้งาน
Triumph Scrambler 1200 มาพร้อมขุมพลังที่เรียกได้ว่าจัดจ้าน ด้วยเครื่องยนต์ 2 สูบ Parallel Twin SOHC 8 วาล์ว พิกัดความจุ 1200 ซีซี. ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาดลูกสูบ x ช่วงชัก อยู่ที่ 97.6 x 80 มม. อัตราส่วนกำลังอัด 11.0 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด ซึ่งมีไฮไลท์อยู่ที่การกำหนดองศาการจุดระเบิดที่แตกต่างกัน 270 องศา ส่งผลให้การสร้างแรงบิดนั้นทำได้อย่างต่อเนื่อง ให้อัตราเร่งที่โดดเด่นตั้งแต่ในรอบต่ำ โดยให้แรงบิดสูงสุดถึง 110 นิวตัน-เมตร ที่รอบต่ำเพียง 3,950 รอบ/นาที และทำแรงม้าสูงสุด 90 ตัว ที่ 7,400 รอบ/นาที ซึ่งนอกจากจะให้พลังในการขับเคลื่อนได้อย่างโดดเด่นแล้ว สิ่งหนึ่งที่ช่วยสร้างความสนุกในการขับขี่ได้ไม่แพ้กัน นั้นก็คือ สุ้มเสียงอันดุดันที่ส่งตรงจากท่อไอเสียแบบคู่ที่ติดตั้งมาให้จากโรงงาน ก่อนส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 6 สปีด ที่จับคู่อยู่กับโซ่แบบ X Ring
โช้กอัพหน้า - หลัง Triumph จัดให้อย่างเหนือชั้น
ล้อซี่ลวดทูปเลส ใครชอบไม่ชอบไม่ก็ไม่รู้ แต่ผม...ชอบมาก
Brembo ชื่อนี้...การันตีความหนึบ
ด้านองค์ประกอบต่างๆ นั้น ถือได้ว่าจัดเต็มไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นชุดโช้กหน้าจาก Showa และโช้กคู่หลังจาก Ohlins ที่สามารถปรับค่าต่างๆ ได้อย่างอิสระ ทั้งพรีโหลด, คอมเพรสชั่น และรีบาวน์ ส่งผลให้การขับขี่ในรูปต่างๆ นั้น ทำได้อย่างเหมาะสมและเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้านระบบเบรกมาพร้อมแบรนด์ระดับโลกอย่าง Brembo M50 พร้อมจานขนาด 320 มม. ในคู่หน้า ส่วนด้านหลังเป็นคาลิเปอร์ Brembo แบบ 2 POT พร้อมจาน 255 มม. พร้อมเติมความมั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วย ABS และ Traction Control สิ่งหนึ่งที่ช่วยให้ Triumph Scrambler 1200 ลุยได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น ก็คือ การเลือกล้อหน้าขนาด 21 x 2.15 นิ้ว ที่มาในรูปแบบซี่ลวดทูปเลส โอบรัดด้วยยาง 90/90 R21 และล้อหลังขนาด 17 x 4.25 นิ้ว โอบรัดด้วยยาง 150/50 R17
หน้าจอสามารถเซ็ตรูปแบบได้อย่างหลากหลาย เปลี่ยนอารมณ์แค่คลิ๊ก !
สิ่งอำนวยความสะดวก...จัดเต็ม !
ไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะ Triumph Scrambler 1200 ยังจัดเต็มด้วยลูกเล่นล้ำสมัย ไล่มาตั้งแต่หน้าจอสีแบบ TFT เจนเนอเรชั่นที่ 2 ซึ่งสามารถบ่งบอกค่าต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นความเร็ว รอบเครื่องยนต์ ตำแหน่งเกียร์ ระยะทาง สถานการณ์ทำงานของระบบต่างๆ โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้อย่างหลากหลายตามสไตล์และรูปแบบของเส้นทาง โดยมีโหมดมาตรฐานมาให้ใช้งานกันอย่างจุใจถึง 5 โหมด นั้นก็คือ Rain, Road, Sport, Off Road และ Rider ที่ผู้ขับขี่สามารถปรับเลือกปรับระดับการทำงานของระบบต่างๆ ทั้ง ABS, Traction Control และการตอบสนองของเครื่องยนต์ได้เองตามต้องการ นอกจากนี้พร้อมฟังชั่นสำคัญๆ ไว้ให้ใช้งานกันอย่างครบถ้วน เช่น Cruise Control, Heat Grip ซึ่งฟังค์ชั่นหนึ่งที่อดพูดถึงไม่ได้เลยก็คือ นี่ถือเป็นครั้งแรกสำหรับฟังค์ชั่น GoPro Control ซึ่งผู้ขับขี่สามารถควบคุมตัวกล้องได้บริเวณปุ่มควบคุมด้านซ้าย สามารถถ่ายภาพ บันทึกวีดีโอในรูปแบบที่ต้องการได้อย่างจุใจ
Triumph Scrambler 1200 XE กับความเหนือชั้นที่เรียกได้ว่าเป็น "ขั้นกว่า"
Triumph Scrambler 1200 มีให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่น นั่นก็คือ รุ่น XC และรุ่น XE โดยภาพรวมของทั้ง 2 รุ่นนั้น มีพื้นฐานและองค์ประกอบที่ใกล้เคียงกัน แต่ความแตกต่างหลักๆ ของทั้ง 2 รุ่นนี้ นอกจากเรื่องของภาพลักษณ์ที่รุ่น XE จะมีการ์ดแฮนด์ติดตั้งมาให้จากโรงงานแล้ว ในรุ่น XE ออกแบบมาให้สามารถขับขี่ในสไตล์แอดเวนเจอร์ได้อย่างถึงอกถึงใจยิ่งขึ้น ด้วยชุดช่วงล่างที่ออกแบบมาให้มีช่วงยุบที่มากกว่า (ตัว XC ใช้โช้กอัพหน้า Showa แกน 45 มม. ช่วงยุบ 200 มม. ทั้งหน้าและหลัง ส่วนตัว XE มาพร้อมโช้กหน้าแกน 47 มม. ช่วงยุบ 250 มม. ทั้งหน้าและหลัง) ช่วยให้การลุยหนักๆ สไตล์สายลุยพันธุ์แท้ทำได้อย่างเต็มอารมณ์ยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ยังระบบ Cornering ABS, Cornering Traction Control ที่ประมวลผลผ่าน IMU Inertial Measurement Unit อันชาญฉลาดจาก Continental และที่ขาดไม่ได้ก็คือ โหมดการขับขี่ที่เพิ่มขึ้นมา นั้นก็คือ โหมด Off Road Pro ที่จะยกระดับการขับที่ดุดันมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
ควบคุมง่ายแม้ในเส้นทางที่เปียกลื่น และประสบการณ์แนวออฟโร๊ดอันน้อยนิด
การทดลองขับขี่ในครั้งนี้ ทาง Triumph จัดไว้ให้อย่างจุใจในรูปแบบเส้นทางที่หลากหลายถึง 2 วันเต็มๆ ซึ่งวันแรกเป็นการทดลองขี่ในรูปแบบ Off Road ในเมือง Boavista ซึ่งต้องบอกว่าโหดหินเอาการเลยที่เดียว เนื่องจากในช่วงเช้าวันที่ได้ขับขี่ มีสายฝนโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้สภาพพื้นผิวนั้นค่อนข้างลื่นเกินคอนดิชั่นที่คาดไว้ บวกกับตัวผู้ขับขี่เอง ไม่ได้สันทัดในรูปแบบการขับขี่แบบออฟโรดมากนัก ก็คงไม่แปลกหากจะรู้สึกประหม่าบ้างในช่วงก่อนที่จะได้ลองขี่ สิ่งที่รู้สึกแปลกตาในครั้งแรกที่ได้เห็นรถที่ทาง Triumph จัดไว้ให้ทดลองขี่ก็คือ ภาพลักษณ์ของตัวรถ Triumph Scrambler 1200 ทั้งรุ่น XC และ XE นั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย ซึ่งมาในสไตล์ที่เหมาะกับการลุยมากยิ่งขึ้น โดยที่สังเกตได้ก็คือ มีการใช้บังโคลนแบบลอย และเปลี่ยนยางเป็นแบบบั้งเม็ดข้าวโพด ซึ่งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใส่เข้าไปนี้ เป็นหนึ่งในไอเท่มตรงรุ่นกว่า 80 รายการ ที่ทาง Triumph จัดเตรียมไว้สำหรับผู้ที่รักการตกแต่งได้จัดมาประจำการ
ไม่ว่าจะเจอเส้นทางรูปแบบไหน Triumph Scrambler 1200...เอาอยู่ !
ในทันทีทันใดที่ได้สัมผัสกับ Triumph Scrambler 1200 สิ่งแรกที่รู้สึกได้เลยก็คือ การคอนโทรลรถนั้นทำได้ง่ายกว่าที่คิด เบาะนั่งตามสเปคที่เคยคิดว่าสูง ไม่ได้สูงอย่างที่คาด จากเบาะที่ค่อนข้างแคบ ทำให้สามารถวางเท้าลงพื้นและจัดท่านั่งเพื่อประคองตัวรถได้อย่างสบายๆ สำหรับผู้ขับขี่ที่สูงราว 168 ซม. สภาพเส้นทางหลังจากออกตัวนั้นลื่นกว่าที่คิดไว้มาก อีกทั้งยังได้เจอกับสภาพพื้นผิวที่หลากหลาย ทั้งกรวดลอย, ทราย หรือแม้แต่ดินเลนหนังหมู แต่การควบคุม Triumph Scrambler 1200 ก็ยังสามารถทำได้อย่างมั่นใจ ขับขี่ได้อย่างไร้ปัญหา (มาช้า...แต่มานะ) แม้ว่าจะต้องเจอเส้นทางที่โหดร้ายอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน ล้อหน้า 21 นิ้ว ให้สัมผัสในการปีนป่ายที่ดีสมราคา พร้อมกับขอบแบบทูปเลสที่อุ่นใจกว่าเยอะ หากต้องเดินทางไกลๆ ซึ่งนอกจากองค์ประกอบภายนอกของตัวรถที่ดีแล้ว ส่วนหนึ่งคงต้องยกเครดิตให้กับระบบอิเลคทรอนิคส์ที่สามารถทำงานได้อย่างชาญฉลาด ตัดต่อกำลังเครื่องยนต์และระบบเบรกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้ขับขี่มีสมาธิในการควบคุมรถและสนุกกับเส้นทางที่ท้าทายได้อย่างเต็มที่ โดยหากจะเปรียบเทียบประสิทธิภาพโดยรวมระหว่างรุ่น XC และ XE กับการขี่ในเส้นทางออฟโร๊ดที่โหดหินเช่นนี้ ถ้าสำหรับคนที่ต้องการรถที่ควบคุมง่าย ความสูงไม่มากนัก มีสกิลในการขับขี่ปานกลาง ช่วงล่างและโหมดการขับขี่ที่มีอยู่รุ่น XC ก็ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีมากพออยู่แล้ว แต่หากคุณเป็นสายโหดที่ชอบความตื่นเต้น เร้าใจแบบเต็มพิกัด ขี่โหด โดดทุกเนินฉันท์ใด การมีรุ่น XE เป็นที่สุดของตัวเลือกในดวงใจ ทั้งโหมดการขับขี่ และช่วงล่างที่แข็งแกร่งและมีระยะยุบที่มากกว่า ก็ย่อมที่จะตอบโจทย์ได้ดีขึ้นอีกระดับฉันท์นั้น
พลิกรถง่าย ให้ความคล่องตัวสูง ทรงพลังยามออกโค้ง
ถัดมาอีกหนึ่งวัน เป็นการทดลองขี่ในรูปแบบ On Road กว่า 200 กม. ท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเย็นในระดับ 10 องศาเซลเซียส และเส้นทางที่มีความคดเคี้ยว สูงชัน สวยงาม และเปี่ยมด้วยความท้าทาย จาก Pine Cliffs Resort ในกรุง Faro ลัดเลาะขุนเขาขึ้นไปทางทิศเหนือยังเมือง Almodôvar โดยตัวผมเองเลือกขับขี่ด้วยโหมด Sport ที่ปรับเลือกได้อย่างง่ายๆ เพียงกดปุ่มโหมดที่ประดับแฮนด์ด้านซ้าย และเลื่อนแถบไปยังสัญลักษณ์ของโหมดเพื่อกดเลือก ตัวหน้าจอสามารถแสดงผลได้ 2 แบบ (เลือกปิด-เปิด การแสดงผลค่าต่างๆ ได้มากตามที่ต้องการ) ปรับอารมณ์ในการขับขี่ได้ทั้งสไตล์คลาสสิคและสไตล์สปอร์ต โดยสีของหน้าจอจะปรับขาว – ดำ อัตโนมัติตามสภาพแสง (หรือแล้วแต่จะเลือก) ซึ่งหนึ่งฟังค์ชั่นที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการเดินทางในครั้งนี้ก็คือ Heat Grip ที่ถือว่ามีประโยชน์มากๆ กับการเดินทางที่หนาวเย็นเช่นนี้ (สำหรับในไทย ใครที่ชอบออกทริปขึ้นดอย คงรู้ถึงประโยชน์ของสิ่งนี้ไม่มากก็น้อย) ช่วยสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี ในส่วนของเครื่องยนต์และท่อไอเสียสำหรับรถในแนว Scrambler ที่หน้าตาท่อพาดออกข้างขาผู้ขี่เช่นนี้ หลายคนมักจะคิดว่าร้อนจนไม่สามารถใช้งานได้จริง หรือออกทริปกันที ขาต้องไหม้แน่ๆ อันนี้ขออนุญาตค้านแบบสุดตัวเลยครับ เนื่องจากทาง Triumph เก็บงานมาได้ดีมากๆ แม้จะขี่ในย่านที่การจราจรแออัด แต่ก็แทบไม่รู้สึกถึงความร้อนจากท่อไอเสียมาให้ระคายผิวเลยแม้แต่น้อย
นุ่มนวลกว่าในยามเดินทาง ตัวช่วยจัดเต็ม มั่นใจขึ้นอีกขั้น
หลังจากเดินทางผ่านช่วงเมืองได้สักระยะ เส้นทางสำหรับสายโหดของจริงก็เริ่มปรากฏ หากลองจินตนาการตามก็คงอารมณ์คล้ายๆ เส้นทางมุ่งหน้าสู่ อ.ปาย หรือจาก จ.น่าน สู่ อ.บ่อเกลือ ที่แทบจะไม่มีทางตรงเลยแม้แต่น้อย มีแค่โค้งมาก และโค้งมากกว่า สลับภูเขาขึ้นๆ ลงๆ ซ้ายขวา ซ้ายขวา Select โหน...ก็เท่านั้นเอง พละกำลังของ Triumph Scrambler 1200 นั้น ถือว่าเหลือเฟือในระดับที่สามารถเอาไปวัดกับใครที่ไหนก็ได้ โดยเฉพาะในเรื่องของแรงบิดที่ต้องบอกว่าดุดันมากๆ และสามารถเรียกมาใช้งานได้ตั้งแต่รอบต่ำ ส่งผลให้การขับขี่ทำได้อย่างสนุก จะขึ้นเขา ดันเนิน ก็ไม่ต้องมาคอยเชนจ์เกียร์ให้เสียจังหวะ (แม้ว่าคลัทช์จะนุ่มจนน่าบีบเล่นทั้งวันก็เถอะ) อีกทั้งยังไม่ต้องลากรอบเครื่องยนต์ให้สูงซึ่งส่งผลโดยตรงในเรื่องของอัตราสิ้นเปลือง ซึ่งจากที่ลองขี่แบบหวดเต็มเหนี่ยวทั้งวันกว่า 200 กม. กลับถึงที่พักเชื้อเพลิงในถังยังเหลือๆ พอที่จะขี่ออกไปหามาม่าหน้าเซเว่นมานั่งซดน้ำซุปร้อนๆ ได้แบบสบายๆ หลายๆ อาจสงสัยว่าเครื่องยนต์ 2 สูบ ความจุเยอะขนาดนี้ ขี่ไกลๆ มีอาการสั่น หรือมือชาบ้างไหม เรียนตามตรงเลยว่า แรงสั่นสะเทือนในรอบสูงๆ เป็นเรื่องที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ แต่อาการชามือนั้น หลังจากขี่มากว่า 200 กม. ในเส้นทางที่หนาวเย็นเช่นนี้ ยังไม่มีให้รำคาญใจ ส่วนเรื่องของแฮนด์ลิ่งในการเข้าโค้งนั้น เอาตามตรงเลย...ผมแอบเซอร์ไพรซ์นิดๆ ว่าทำไมรถที่มีความสูงมากขนาดนี้ แต่กลับเข้าโค้งได้อย่างแนบเนียน พลิกโค้งได้ง่าย ใช้ความเร็วสูง (มีบางช่วงที่สามารถลองทำความเร็วได้ถึง 175 กม./ชม.) ได้แบบไม่มีอาการโบก แม้ว่าจะมาพร้อมล้อหน้าในขนาด 21 นิ้ว ก็ตาม ว่าง่ายๆ หากลองหลับตาและลืมภาพลักษณ์ของความเป็นรถคลาสสิคไปซะ คงคิดว่ากำลังขี่รถเนคเก็ตไบค์อารมณ์แบบกึ่งๆ โมตาร์ดอยู่อย่างแน่นอน เช่นเดียวกับระบบเบรกที่เชื่อขนมกินได้เลยว่า พวกสปอร์ตตัวพันยังเอาอยู่ แล้วสำหรับ Triumph Scrambler 1200 เรียกว่า หยุดสั่งได้แบบสบายๆ อย่างไม่ต้องสงสัย
XC และ XE แม้คาแร็กเตอร์จะต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันอย่างปฏิเสธไม่ได้ คือ ความสนุกในการขับขี่
เอาล่ะ...มาถึงตรงนี้ Triumph Scrambler 1200 ยังคงมีความแตกต่างระหว่างตัว XC และ XE อย่างแน่นอน ด้วยช่วงล่างและระยะยุบที่ต่างกัน ส่งผลให้ฟีลลิ่งในการเข้าโค้ง หรือการขับขี่นั้นแตกต่างกันออกไปด้วย ซึ่งหากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบการขับขี่ทางเรียบเป็นหลัก เน้นความกระชับในการเข้าโค้ง การเลือกรถที่มีความสูงจากพื้นที่ต่ำกว่า ช่วงยุบของช่วงล่างที่น้อยกว่า ดูจะได้เปรียบอยู่เล็กน้อย แต่หากคุณเป็นคนที่ชอบความสบายในการเดินทาง เน้นความนุ่มนวลในการขับขี่เป็นสำคัญ ตัวทีเด็ดอย่างรุ่น XE ดูจะมีภาษีที่ดีกว่า ด้วยตัวช่วยที่เยอะ ให้ความรู้สึกมั่นใจขึ้นอีกระดับ โดยเฉพาะระบบเบรก Cornering ABS ที่ช่วยได้จริงในยามที่จำเป็นแต่งอาการในโค้ง ก็ยิ่งช่วยเติมความปลอดภัยให้การเดินทางมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังให้ความรู้สึกที่ไม่คาใจด้วยความที่เป็นรุ่นท็อปอีกด้วย
Triumph Scrambler 1200 ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า นี่คือ มอเตอร์ไซค์ที่พร้อมรบในทุกสมรภูมิ อาจจะไม่ใช่รถที่ดีที่สุดในทุกๆ ด้าน แต่เป็นรถที่สามารถตอบโจทย์ได้อย่างครบเครื่อง และสร้างความสนุกให้กับทุกการขับขี่ได้อย่างถึงแก่นแท้ ตามแบบฉบับ For The Ride ที่ทาง Triumph ยึดถือมาโดยตลอด แล้วคุณล่ะ...พร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งแห่งความสนุกกับ Triumph Scrambler 1200 แล้วหรือยัง ?
Triumph Scrambler 1200 XC ราคา 613,000 บาท
Triumph Scrambler 1200 XE ราคา 656,000 บาท
ขอขอบคุณ Triumph Motorcycle Thailand ที่อำนวยความสะดวกตลอดการเดินทางครับ