Royal Enfield Bullet 500
ไบค์เกอร์ กับการเดินทาง ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดมามาคู่กันอย่างมิอาจแยกออก ซึ่งในแต่ละทริปที่ต้องได้ออกเดินทางนั้น เชื่อได้ว่าต้องมีเรื่องราวมากมายให้สรรสร้างจินตนาการสุดประทับใจ ทั้งสุขและทุกข์ต่างไปตามโอกาส แน่นอนว่า...ไบค์เกอร์แต่ละคนนั้น ย่อมมีความชื่นชอบในสไตล์ของการเดินทางที่แตกต่างกันออกไป อันส่งผลโดยตรงต่อการเลือกสองล้อคู่ใจที่จะพาไบค์เกอร์เหล่านี้ ให้ไปถึงฝั่งฝันอย่างที่ใจต้องการได้ ซึ่งหนึ่งในรถอีกประเภทหนึ่ง ที่ถือได้ว่ามาแรงมากๆ ในยุคนี้ คงหนีไม่พ้นสองล้อสไตล์คลาสสิค
เหตุผลหนึ่งที่มอเตอร์ไซค์สไตล์คลาสสิคได้รับความนิยมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ารถสไตล์อื่นๆ ปัจจัยหลักๆ คงหนไม่พ้นเรื่องของภาพลักษณ์ที่สามารถบ่งบอกตัวตนของผู้ขับขี่ได้อย่างชัดเจน ซึ่งเราคงปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่า รถสไตล์นี้ ไม่ว่าจะขี่ไปไหน มันก็ช่างดูเท่ ชวนมองอย่างไม่ต้องสืบ ยิ่งขี่กันมาเป็นกลุ่มในสถานที่ต่างๆ เชื่อได้เลยว่า ย่อมต้องมีผู้ที่สนใจ เข้ามาถามไถ่ พูดคุยถึงรายละเอียดต่างๆ อย่างแน่นอน เช่นเดียวกับช่วงที่ผมได้ทดลองขี่ Royal Enfield Bullet 500 คันที่ปรากฏโฉมอยู่ต่อหน้าผู้อ่านทุกๆ ท่าน ณ เวลานี้ โดยตัวรถมาพร้อมความคลาสสิคแบบเต็มขั้น ตั้งแต่หัวจรดท้าย แสดงให้เห็นว่าทางค่ายตั้งใจ และพิถีพิถันกับรายระเอียดในทุกๆ จุด เช่นเดียวกับถังน้ำมันมาในไซส์ที่ค่อนข้างใหญ่พร้อมความจุ 14.5 ลิตร เรียกได้ว่าเดินทางกันได้อย่างสบายๆ เลยทีเดียว
ถังน้ำมันดีไซน์อวบอ้วน มาพร้อมความจุ 14.5 ลิตร เดินทางกันได้ยาวๆ
Emblem ต่างๆ แสดงตัวตนอย่างชัดเจน งานเนียน ดูใส่ใจรายละเอียดมากทีเดียว
เบาะนั่ง...แม้ไม่ใช่พิซซ่า แต่ก็หนานุ่ม ถูกใจนักเดินทาง
Royal Enfield Bullet 500 ถือเป็นหนึ่งในรุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดของแบรนด์นี้ ซึ่งเหตุผลหลักๆ น่าจะเป็นเรื่องที่เข้าใจกันไม่ยาก เพราะเป็นรุ่นเดียวของ Royal Enfield ที่ขายอยู่ในประเทศไทย (ณ ปัจจุบัน) ซึ่งมีที่ซ้อนสำหรับผู้โดยสาร ทำให้การเดินทางพร้อมคนรู้ใจทำได้อย่างสะดวกโยธินยิ่งขึ้น (ซึ่งหลายคนอาจไม่คิดแบบนี้ 555) ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ สำหรับผมแล้ว การเดินทางพร้อมคนที่เรารู้สึกดีด้วย ไม่ว่าจะไปในที่แห่งไหน ล้วนเป็นความรู้สึกที่สร้างบรรยากาศสุดประทับใจได้เสมอ สิ่งหนึ่งที่น่าชื่นชมของ Royal Enfield Bullet 500 แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องของเบาะที่หนา นุ่ม และค่อนข้างกว้าง ให้ความรู้สึกสบายทั้งกับผู้ขับขี่และผู้ซ้อน แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความสูงของตัวเบาะที่มากขึ้นเป็นธรรมดา แต่โดยรวมแล้ว ไม่ถือว่าสร้างปัญหาให้กับผู้ขับขี่ไซส์มาตรฐานชายไทย (167-172 ซม.) ที่สามารถวางเท้าได้สัมผัสพื้นได้อย่างมั่นใจ แต่จะไม่เต็มเท้าก็ตามที
ขุมพลังสูบเดี่ยว พิกัด 0.5 ลิตร มีดีที่แรงบิด
คันสตาร์ทเท้า...มีไว้ใช้ยามฉุกเฉิน แต่สำหรับมือใหม่ ควรศึกษาวิธีใช้อย่างละเอียด
ขุมพลังของ Royal Enfield Bullet 500 มาในสไตล์หนุ่มมาดเข้าด้วยเครื่องยนต์สูบเดี่ยวพิกัด 499 ซีซี. ให้กำลังสูงสุด 27.2 แรงม้า ที่ 5,250 รอบ/นาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 41.3 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด EFI มาพร้อมระบบสตาร์ทมือ พ่วงด้วยคันสตาร์ทเท้าไว้ใช้ยามฉุกเฉิน (แต่ถ้าเป็นไปได้หรือไม่ชำนาญพอ ไม่แนะนำให้ใช้จะดีกว่า ถ้าไม่อยากหน้าแข้งเขียว) ส่งกำลังด้วยเกียร์ 5 สปีด ระบบช่วยล่างมาพร้อมโช้คอัพเทเลสโคปิคในด้านหน้า และโช้คอัพแก๊สคู่ในด้านหลัง ระบบเบรกหน้ามารูปแบบดิสค์เบรก 2 POT ส่วนด้านหลังมาในแบบดรัมเบรคตามแบบฉบับสองล้อสุดสไตล์คลาสสิคขนานแท้
ไม่มีเกจ์วัดปริมาตรเชื้อเพลิง แต่มีไฟเตือนเมิื่อเชื้อเพลิงใกล้หมด
หากจะให้สารภาพจากใจ บอกตรงๆ เลยว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่บ้าเรื่อง Performance และไม่ค่อยจะอินกับพวกมอเตอร์ไซค์คคลาสสิคสักเท่าใดนัก ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่แปลกหากในหัวของผมอาจจินตนาการภาพในทางบวกของรถแนวนี้ไม่ค่อยออก และยังไม่ค่อยเข้าใจว่า นอกจากเรื่องของความหล่อและสไตล์แล้ว ทำไมผู้คนส่วนใหญ่เขาถึงชอบกัน แต่หลังจากที่ผมได้มาสัมผัสกับ Bullet 500 รวมถึงสองล้อแบรนด์ Royal Enfield รุ่นอื่นๆ ที่เคยได้ทดลองขี่มาก่อนหน้านี้ มุมมองของผมนั้นก็เริ่มเปลี่ยนไป สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้จาก Royal Enfield Bullet 500 ที่เหนือกว่าบิ๊กไบค์ในสไตล์อื่นๆ ที่เคยได้สัมผัสมา นั่นก็คือ เรื่องของความคล่องตัวที่เรียกได้ว่าเหมาะกับการใช้งานในเมือง สามารถขับขี่ในชีวิตประจำวันได้แบบไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหา ไม่ว่าจะซอกแซกไปในมุมไหน ก็สามารถทำได้โดยง่าย แม้ตัวรถจะมีน้ำหนักมากถึง 187 กก. แต่ด้วยสรีระของรถที่ค่อนข้างกะทัดรัด ทำให้การบังคับควบคุมสามารถทำได้แบบอยู่มือ และด้วยแรงบิดที่มีให้ใช้อย่างเหลือเฟือ ทำให้การเร่งออกตัวทำได้โดยง่าย ไม่ต้องรีดรอบ เค้นกำลังมากก็สามารถเพิ่มความเร็วได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์กันบ่อยๆ หากอยากรู้ว่าแรงบิดเหลือเฟือขนาดไหน ลองจินตนาการกันดูว่า ในเกียร์สุดท้าย สามารถปล่อยไหลที่ความเร็ว Walking Speed (ความเร็วราว 20-30 กม./ชม.) โดยเครื่องยนต์ไม่ดับ ซึ่งเรียกได้ว่า แทบจะมีมอเตอร์ไซค์ไม่กี่รุ่น ที่สามารถทำได้แบบนี้ แม้จะเป็นนักบิดหน้าใหม่ ก็ยังหมดกังวลเรื่องอาการเครื่องดับแล้วล้มแปะเวลาที่ขับขี่ในเมือง หรือกลับรถในที่แคบๆ ไปได้เลย
ว่ากันตามตรงแล้ว ในบางครั้งตัวผมเองอาจมีนิสัยเสียที่ไม่ควรเองเยี่ยงอย่างก็คือ การขี่รถด้วยความเร็วค่อนข้างสูง ซึ่งเมื่อทำสิ่งนั้นกับ Royal Enfield Bullet 500 อารมณ์ประมาณว่า ลากรอบจนถึง Red Line แล้วค่อยเปลี่ยนเกียร์ การกระทำในทำนองนี้ ดูจะไม่เข้ากับลุคของมอเตอร์ไซค์สายคลาสสิคแท้ๆ อย่าง Royal Enfield Bullet 500 เพราะแน่นอนว่าการใช้รอบเครื่องยนต์สูงๆ หรือเร่งอย่างรุนแรงนั้น เครื่องยนต์จะมีอาการสั่นสะท้านค่อนข้างมาก ทำให้รู้สึกค่อนข้างเมื่อยล้าหรือเกิดอาการชาที่มืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรืออย่างไร เมื่อในวันที่ผมได้ทดลองขับรถคันนี้ ผมมีปัญหาเรื่องสุขภาพอยู่เล็กน้อย แต่ด้วยความที่อยากให้รีวิวชิ้นนี้ออกมาอย่างสมบูรณ์ที่สุด จึงต้อง The show must go on ป่วยปางตาย ก็ต้องเอาไปลองขี่ให้ได้สักหนึ่งทริปสั้นๆ เพื่อจับอาการของตัวรถ ซึ่งด้วยปัญหาสุขภาพนี้เอง ทำให้ผมปรับสไตล์การขับขี่ของตัวเองให้เหมาะสม คือ ขี่ชิลล์ๆ ใช้ความเร็วปานกลางประมาณ 60-80 กม./ชม. หรืออาจจะมี 100+ กม./ชม. ไปบ้างในช่วงที่ต้องการเร่งแซง ผลที่ได้ออกกลับมาดีเกินคาด อาการสั่นสะท้านเรียกได้ว่าเบาบางลงไปจนไม่สร้างปัญหา ตัวรถทรงตัวได้ดีในระดับที่ควบคุมได้ง่าย ทั้งการเข้าโค้ง การเบรกที่ทำได้อย่างน่าพอใจ และด้วยความที่ถังน้ำมันมีความจุกว่า 14 ลิตร และอัตราการสิ้นเปลืองสุดประหยัด ทำให้การเดินทางของคุณทำได้แบบยาวๆ ไม่มีสะดุด เรียกได้ว่าออกทริปแบบ One Day Trip ในระยะทางไม่เกิน 300 กม. เช้าเติมเต็มถัง กลับถึงบ้านน้ำมันยังเหลือ พร้อมสิ่งที่ได้มาคือ การได้สัมผัสและซึมซับบรรยากาศระหว่างสองข้างทางอย่างเต็มอิ่ม ทำให้รู้สึกถึงความสุขในการเดินทางในอีกรูปแบบหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งมาถึงตรงนี้แล้ว ผมกล้าพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า สำหรับผู้ที่ชื่นชอบขี่มอเตอร์ไซค์ท่องเที่ยวชิลล์ๆ และมีความชอบในสองล้อสไตล์คลาสสิคเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว Royal Enfield Bullet 500 เป็นรถมอเตอร์ไซค์อีกหนึ่งรุ่น ที่พร้อมจะสร้างความสุขในยามเดินทางให้กับคุณได้อย่างไม่ต้องสงสัย ชนิดที่ว่า สนุกลืมป่วยไปเลยทีเดียว
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจของแบรนด์ Royal Enfield ซึ่งผมอดพูดถึงไม่ได้เลยก็คือ เรื่องของสังคมในการขับขี่ของผู้ใช้รถแบรนด์นี้ ในฐานะที่ผมเคยร่วมออกทริปกับผู้ใช้รถแบรนด์นี้มาแล้วประมาณ 2-3 ครั้ง ต้องบอกเลยว่า สังคมแห่งนี้พร้อมจะเป็นบ้านหลังที่ 2 ซึ่งพร้อมสร้างความอบอุ่นในโลกของการขี่มอเตอร์ไซค์ ไม่ว่าคุณจะมาจากที่ไหน ใช้รถรุ่นใด ทุกคนที่อยู่ในสังคมของ Royal Enfield ก็พร้อมที่จะอ้าแขนต้อนรับคุณเข้ามาในโลกแห่งนี้ได้อย่างมีความสุข มาถึงตรงนี้แล้ว เชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านคงเข้าใจ ว่าสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ “เมื่อจุดหมาย ไม่ได้สำคัญไปกว่าเรื่องราวระหว่างการเดินทาง” นั้นคือ อะไร...ขอบคุณสำหรับการติดตามครับ