เขียนโดย: Pajingo

เมื่อ: 9 มีนาคม 2560 - 14:15

Triumph Bonneville Bobber ถ้าคำตอบในใจบอกว่าใช่ แล้วจะมัวรออะไรให้เสียเวลา

Triumph Bonneville Bobber อาชาศึกรูปงามแห่งเมืองผู้ดี

 

          Triumph Bonneville Bobber เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลกที่ประเทศอังกฤษเมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคม 2016 ซึ่งถือว่าเป็นมอเตอร์ไซค์อีกหนึ่งรุ่น ที่เรียกได้ว่าสร้างปรากฏการณ์และเรียกเสียงฮือฮาจากไบค์เกอร์ได้ทั่วทั้งโลก ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทยที่ชาวสองล้อต่างรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ จนกระทั่งในช่วงงาน Motor Expo ที่ผ่านมา ทางค่าย Triumph ก็ได้นำสองล้อสุคชิค Triumph Bonneville Bobber ผู้เปี่ยมด้วยสไตล์ดุดันอันเป็นเอกลักษณ์มาเปิดตัวให้ไบค์เกอร์ชาวไทยได้สัมผัสและครอบครอง

 

ดีไซน์โดดเด่น ด้วยเรือนร่างดุดัน สื่อถึงตัวตนของผู้ครอบครองได้อย่างชัดเจน

 

 

            หลังจากที่เปิดให้จับจองในช่วงเวลาดังกล่าว เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ก็ได้เวลาที่ทาง Triumph เริ่มส่งมอบ Bonneville Bobber ให้กับลูกค้า ซึ่งนั่นเอง...เป็นโอกาสอันเหมาะเจาะที่ BoxzaRacing จะได้สัมผัสกับฟีลลิ่งของสองล้อผู้นี้ เพื่อถ่ายทอดรายละเอียดต่างๆ รวมถึงฟีลลิ่งการขับขี่ให้ชาวไบค์เกอร์ได้รับรู้กันแบบครบถ้วน โดยการรีวิวในครั้งนี้ เปรียบเสมือนการพูดคุยถึงรายละเอียดต่างๆ ในเชิงอารมณ์ล้วนๆ ประดุจการชมภาพยนตร์แนวดราม่า (แต่ไม่มีดราม่านะครับ 555) ซึ่งหากใครที่ชื่นชอบการดูหนังแนวแอคชั่นแล้วล่ะก็ แนะนำให้เปลี่ยนช่องตอนนี้ยังทันนะครับ เพราะเนื้อหาที่จะกล่าวในที่นี้ อาจไม่โดนใจสายซิ่งสักเท่าไหร่ (แต่อดใจรอเพียงชั่วเคี้ยวหมากแหลก...จะมีรายละเอียดในเชิง Performance ให้ได้สัมผัสกันแบบเต็มอิ่มแน่นอน)

 

เรือนไมล์สไตล์คลาสสิค พร้อมบ่งบอกค่าต่างๆ ได้แบบครบถ้วน

 

เรือนไมล์สามารถปรับระดับได้ตามสรีระผู้ขับขี่

 

          เป็นที่ทราบกันดีว่าจุดเด่นของ Triumph Bonneville Bobber อยู่ที่เรื่องของสไตล์อันหล่อเหลา ดุดัน ซ่อนความสง่างามไว้ภายใน ทำเอาใครที่ได้พบเห็น ต่างใจละลายไปในชั่วขณะจิต ซึ่งแน่นอนว่าคงเป็นความรู้สึกเดียวกับที่ผู้เขียนสัมผัสได้ในขณะนี้ โดยนอกจากเรื่องของภาพลักษณ์ที่มีความโดดเด่นแล้ว สิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นจุดขายของทาง Triumph คงหนีไม่พ้นเรื่องของความเรียบร้อยในการประกอบ ที่เมื่อเห็นเนื้องานแบบใกล้ๆ แล้ว คงมิอาจปฏิเสธได้ว่า เนียน กริ๊บ ทุกกระเบียดนิ้วจริงๆ ไล่มาตั้งแต่ในส่วนหน้าที่มาพร้อมไฟหน้าฮาโลเจนทรงกลมขนาดพอเหมาะ รับกับเรือนไมล์อนาล็อกสไตล์คคลาสสิคที่สามารถปรับระดับการมองได้ตามสรีระของผู้ขับขี่ เพียงปลดสลักล็อกที่มีลักษณะเหมือนกับแกนปลดของจักรยานระดับไฮเอนด์เพียงเท่านั้น โดยรายละเอียดภายในเรือนไมล์ นอกจากจะมีเข็มแสดงความเร็วเป็น กม./ชม. แล้ว ยังมาพร้อมหน้าจอดิจิตัลขนาดย่อมๆ ที่สามารถบ่งบอกค่าที่จำเป็นได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นรอบเครื่องยนต์, ระยะทางรวม, ระยะทางทริป, อัตราการสิ้นเปลือง, ปริมาณเชื้อเพลิง, โหมดการขับขี่, สถานการณ์ทำงานของระบบ Traction Control รวมถึงตำแหน่งเกียร์

 

ก้านเหรียญปรับระยะได้ 4 ระดับ ทั้ง 2 ฝั่ง

 

          Triumph Bonneville Bobber มาพร้อมแฮนด์บาร์ที่มีองศาที่ยกและเยื้องมาด้านหลังเล็กน้อย เพื่อท่วงท่าการจับที่มีความกระชับ ไม่เมื่อยล้าจนเกินไป และให้ความรูสึกในการบังคับควบคุมแบบเต็มไม้เต็มมือด้วยแฮนด์กริ๊ปขนาดใหญ่ โดยประกับแฮนด์ด้านขวาเป็นที่อยู่ของปุ่มสตาร์ท – ดับเครื่องยนต์, ปุ่มปรับโหมดการขับขี่ระหว่า Road และ Rain ที่สามารถปรับได้ง่ายเพียงกดเบาๆ ครั้งเดียวเท่านั้น โดยด้านล่างสุดเป็นที่อยู่ของสวิตช์ไฟฉุกเฉิน ส่วนประกับแฮนด์ด้านซ้ายมีปุ่มที่สามารถเรียกดูข้อมูลการขับขี่ต่างๆ สวิตช์ไฟสูง, ไฟเลี้ยว และแตร สำหรับก้านเบรคและก้านคลัทช์มาในสีเงินดูมีราคาพร้อมปรับระยะได้ตามต้องการถึง 4 ระดับ ก้านอ้วนใหญ่ให้ความรู้สึกในการสัมผัสที่เต็มไม้เต็มมือเช่นเดียวกัน

 

ถังน้ำมันดีไซน์เพรียว มาพร้อมความจุ 9.1 ลิตร

 

เบาะนั่งดีไซน์สุดชิค อีกหนึ่่งไฮไลท์ของ Triumph Bonneville Bobber

 

           เขยิบถอยหลังมาอีกเล็กน้อยเป็นที่อยู่ของถังน้ำมันดีไซน์ผอมเพรียวสุดเซ็กซี่เห็นแล้วอยากขึ้นขี่ไม่มีผิดเพี้ยน โดยมาพร้อมความจุเชื้อเพลิงในระดับ 9.1 ลิตร ซึ่งไบค์เกอร์สายเดินทางอาจจะมองว่าความจุในระดับนี้ค่อนข้างน้อย แต่หากจะว่าไป ถ้าสามารถรองรับระยะในการเดินทางได้ราว 150 กม. +- ก็ถือว่าเป็นระยะที่กำลังดีสำหรับการแวะพักเพื่อผ่อนคลายอิริยาบท เพียงแค่ต้องมั่นใจว่ามีสถานีบริการน้ำมันรอท่านอยู่ในเบื้องหน้าเท่านั้น เบาะนั่งของ Triumph Bonneville Bobber มาในแบบ Single Seat ซึ่งไม่ต้องเป็นกังวลเลยว่าจะมีใครมาขอติดสอยห้อยตามไปด้วยหรือไม่ โดยสิ่งที่ทำให้ Bonneville Bobber แตกต่างก็คือ เป็นครั้งแรกของโลกที่สามารถปรับระยะของเบาะได้ตามสรีระของผู้ขับขี่ ซึ่งสำหรับความสูงมาตรฐานชายไทยที่เกือบๆ 170 ซม. ถือว่าสามารถนั่งขี่ได้แบบสบายๆ และยังสามารถไถเดินหน้า ถอยหลังได้ง่ายๆ ด้วยความสูงของเบาะเพียง 690 มม. จากพื้น ทำให้การเข็นรถที่มีน้ำหนักราว 230 กก. ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอีกต่อไป

 

ขุมพลัง Parallel Twin พิกัด 1,200 ซีซี. ให้กำลัง 77 แรงม้า

 

หม้อน้ำขนาดย่อมๆ วางตั้ง รักษาเอกลักษณ์ความคลาสสิคได้ดีทีเดียว

 

กุญแจมาพร้อมระบบป้องกันการโจรกรรม Immobilizer

 

การ์ดกันแคร้งเครื่อง ถูกติดตั้งมาให้จากโรงงาน

 

           ขุมพลังของ Triumph Bonneville Bobber ต้องบอกเลยว่ามาในสไตล์รุ่นใหญ่ใจนิ่ง โดยเป็นเครื่องยนต์แบบ High Torque 2 สูบเรียง พิกัด 1.2 ลิตร SOHC 8 วาล์ว ความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชัก 97.6 x 80 มม. อัตราส่วนกำลังอัด 10.0 : 1 คันเร่งไฟฟ้า Ride by Wire จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอิเล็คทรอนิคส์ ข้อเหวี่ยงวางทำมุมต่างกัน 270 องศา อันขึ้นชื่อในเรื่องของการปลดปล่อยแรงบิดที่มีความต่อเนื่อง สิ่งที่น่าชื่นชมอีกอย่างสำหรับขุมพลังของไทรอัมพ์ในยุคนี้ก็คือ การนำระบบระบายความร้อนด้วยน้ำมาใช้ แม้ว่าหลายคนอามองว่าเสียคาแร็กเตอร์ในสไตล์ดั้งเดิมไปพอสมควร แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนกลับมองว่าน่าจะเป็นหัวใจหลักที่ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับสภาพอากาศเมืองไทยที่ร้อนจัด ดังนั้นการควบคุมอุณหภูมิของเครื่องยนต์ให้พอเหมาะ ย่อมทำให้เครื่องยนต์บล็อคนี้ แสดงประสิทธิภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยแรงม้าสูงสุดที่ขุมพลังบล็อกนี้ทำได้คือ 77 แรงม้า ที่ 6,100 รอบ/นาที และแรงบิด 106 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 6 สปีด จับคู่กับชุดคลัทช์เปียกหลายแผ่นซ้อน พร้อมระบบ Torque Assist Clutch ที่ช่วยลดแรงกระชากในขณะที่เชนจ์เกียร์ลงอย่างรวดเร็ว

 

โช้คอัพจาก KYB จับคู่กระเดื่องทดแรง

 

 

             ระบบช่วงล่างของ Triumph Bonneville Bobber มาพร้อมโช้คอัพหน้าจาก KYB ขนาด 41 มม. ระยะยุบ 90 มม. และช่วงล่างหลังแบบโมโนโช้คจากแบรนด์เดียวกัน จับคู่อยู่กับกระเดื่องทดแรง ให้ระยะยุบ 76.9 มม. ชุดล้อมาในแบบซี่ลวด 32 ซี่ ทั้งหน้าและหลัง โดยด้านหน้ามาในขนาด 19 x 2.5 นิ้ว รัดด้วยยาง 100/90 R19 ส่วนด้านหลังขนาด 16 x 3.5 นิ้ว รัดด้วยยาง 150/80 R16 ระบบเบรกด้านหน้ามาพร้อมคาลิเปอร์ Nissin 2 POT จับคู่จานขนาด 310 มม. ส่วนด้านหลังเป็นแบบ 1 POT จับคู่จาน 255 มม. เติมความปลอดภัยยิ่งขึ้นด้วยระบบ ABS ทั้งหน้าและหลัง

 

สูง 168 ซม. วางเต็มเท้า ขางอเล็กน้อย มั่นใจ ถูๆ ไถๆ ไปทางไหน...ก็สะดวก

 

หล่อทุกครั้งที่ได้ขี่ ดูดีทุกครั้งเมื่อขึ้นคร่อม...แก่นแท้แห่ง Triumph Bonneville Bobber

 

           ในที่สุดก็ได้เวลาขึ้นคร่อมเจ้า Triumph Bonneville Bobber แบบจริงๆ จังๆ เสียที ความรู้สึกที่ได้ในขณะที่นั่งอยู่บนอานคงหนีไม่พ้นอารมณ์ผ่อนคลาย พร้อมสัมผัสได้ถึงรังสีความหล่อที่แผ่ซ่านออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหาอะไรมาสยบ โดยตำแหน่งเบาะได้ถูกเลื่อนมาด้านสุดเพื่อให้เหมาะกับสรีระ ซึ่งจะให้ว่ากันตรงๆ คงต้องบอกว่า ถ้ามีโอกาสได้เกิดใหม่ให้แขนยาวได้ว่านี้อีกสักนิด คงจะนั่งได้สบายกว่านี้พอควร เพราะไม่ต้องโน้มตัวไปด้านหน้าเพื่อจับแฮนด์ ในขณะที่ร่างกายในส่วนล่างยังคงต้องนั่งอยู่บนเบาะที่ไม่สามารถเลื่อนมาด้านหน้าได้อีก ซึ่งคนที่มีความสูงสัก 175 ซม. ขึ้นไป ไม่น่าจะมีปัญหาที่ว่ามานี้ ทันทีที่สตาร์ทเครื่องยนต์ เสียงการทำงานที่ทรงพลังก็แสดงถึงความพร้อมที่จะโบยบินไปในเส้นทางที่ต้องการ ซึ่งต้องบอกว่าสุ้มเสียงนั้นค่อนข้างดุดัน ทรงพลังเอามากๆ แม้จะมาพร้อมท่อไอเสียเดิมๆ จากโรงงานก็ตาม

 

 

           หลังจากที่ได้ทดลองขี่ Triumph Bonneville Bobber ก็พบว่า เครื่องยนต์บล็อคนี้ ให้การตอบสนองได้อย่างทันอกทันใจ โดยเฉพาะเรื่องของแรงบิดที่มีมาให้ใช้อย่างเหลือเฟือตั้งแต่รอบต่ำ เพียงบิดคันเร่งอย่างเบามือ ก็ช่วยให้การออกตัว หรือแม้แต่การเร่งแซงทำได้อย่างมั่นอกมั่นใจ โดยในขณะที่เร่งเครื่องอย่างรวดเร็วนั้น สิ่งที่สัมผัสได้ก็คือ อาการสั่นของเครื่องยนต์ที่ดูจะเป็นเรื่องปกติของขุมพลังสไตล์นี้ ซึ่งโดยส่วนตัว ผมกลับไม่ได้มองว่าเป็นข้อเสีย แต่ในทางกลับกัน เรียกได้ว่าเป็นสเน่ห์ของของรถในสไตล์นี้เลยทีเดียว สิ่งที่เป็นข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งของ Triumph Bonneville Bobber ก็คือ เรื่องของอัตราการสิ้นเปลือง ที่ดูแล้วน่าจะประหยัดไม่น้อย เนื่องจากการขับขี่เดินทางด้วยความเร็ว 100 กม./ชม. ที่เกียร์ 6 วัดรอบแสดงรอบการทำงานของเครื่องยนต์ที่ราว 2,600 รอบ/นาที เท่านั้น การบังคับควบคุม เรียกว่าทำได้แบบไม่ยากเย็นนัก ด้วยตัวรถที่มีฐานล้อค่อนข้างยาว ทำให้การทรงตัวมีเสถียรภาพที่ดี ไม่ว่าจะเป็นนักบิดหน้าเก่าหรือหน้าใหม่ก็น่าจะขับขี่ได้อย่างไร้ปัญหา หากแต่ว่า...ถ้าคุณเป็นนักบิดหน้าใหม่แท้ๆ การเปิดระบบ Traction Control เอาไว้ ดูจะเป็นทางเลือกที่คู่ควร ส่วนใครที่อยากสัมผัสความเร้าใจแบบเต็มขั้น ก็เพียงแค่จอดเพื่อปิดระบบเท่านั้น ความสนุกสนานจะมาให้คุณได้สัมผัสอย่างเต็มระบบแน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากขับขี่ด้วยความเร็วสูง ควรเผื่อระยะสำหรับการเบรกไว้พอสมควร

 

Triumph Bonneville Bobber ราคา 570,000 บาท

 

           หากจะถามว่า Triumph Bonneville Bobber เหมาะกับใคร ผมคงกล้าพูดแบบเต็มปากเลยว่า “คนที่ชอบ” หรือต้องการแก่นแท้แห่งภาพลักษณ์ที่เรียกได้ว่าโดดเด่นเกินหน้าเกินตา จนสามารถมองข้ามทุกสิ่งอย่างที่ดูขัดอกขัดใจไปได้แบบไม่ใยดี ซึ่งแน่นอนว่า...การที่คุณมีโอกาสได้เห็นสองล้ออย่าง Triumph Bonneville Bobber จอดอย่างสง่างามในโรงรถที่บ้านทุกเช้า มันเป็นความรู้สึกสุดพิเศษ ที่ผมกล้าพูดได้เลยว่า...จะมีคนอีกหลายๆ คน ที่ตาลุกเป็นประกายไฟอยู่ในขณะนี้อย่างแน่นอน

 

Triumph Bonneville Bobber ราคา 570,000 บาท

 

ขอขอบคุณ...เจ้าของรถ และช่างภาพผู้ไม่ประสงค์ออกนาม 

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook