เขียนโดย: Pajingo

เมื่อ: 22 กรกฏาคม 2559 - 10:23

KTM 690 Duke R อย่าให้ความเชื่อเป็นตัวตัดสิน กับความเร้าใจที่ยังไม่ได้สัมผัส

KTM 690 Duke R

 

          เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา KTM (เคทีเอ็ม) โดย บริษัท เบิร์นรันเบอร์ จำกัด ได้จัดพิธีเปิดโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการ KTM Flagship Bangkok ที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยชูจุดเด่นในเรื่องความครบวงจร และเน้นในเรื่องของบริการหลังการขายที่ลูกค้าส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ พร้อมรองรับกลุ่มลูกค้าเดิม รวมถึงสร้างฐานลูกค้าใหม่ที่ให้ความสนใจในแบรนด์ KTM โดยในงานนี้เอง ทางค่ายได้ถือโอกาสอันดี เผยโฉมสองล้อ Naked Middle Class ตัวล่าสุดอย่าง KTM 690 Duke R (เคทีเอ็ม 690 ดู๊ค อาร์) ผู้มาพร้อมสมรรถนะอันเร่าร้อน สมดั่งสโลแกน Ready To Race

 

 

                หลังจากที่เปิดตัว KTM 690 Duke R ผมเองก็แอบเล็งๆ มาตลอด เพราะอยากจะลองควบเจ้าม้าศึกขุมพลังสูบเดี่ยวคันนี้ดูสักครั้ง ซึ่งคงต้องสารภาพแบบตรงไปตรงมาเลยว่า ที่อยากลองเพราะต้องการจะรู้ว่าสองล้อสูบเดียวจะสร้างอารมณ์เสียวสยิวได้ขนาดไหน จะเหนือชั้นสมกับที่ฝรั่งร่ำลือจริงๆ หรือเป็นเพียงแค่รถที่ตอบสนองอารมณ์ ความเท่ และโดดเด่นแค่เรื่องของ Passion เท่านั้น และเมื่อมีโอกาส...ผมจึงไม่รีรอที่จะนำมารีวิวให้ชาว BoxzaRacing ได้ชมกัน

 

เฟรมถัก Chromium-Molybdenum Steel Trellis Frame น้ำหนักเพียง 9 กก. เท่านั้น

 

ไฟหน้ามัลติรีเฟล็กเตอร์พร้อมไฟหรี่ในโคมเดียวกัน

 

                ในส่วนของภาพลักษณ์ของ KTM 690 Duke R มาในสไตล์บึกบึนตามแบบฉบับของทางค่าย โดยมาพร้อมเฟรมถัก Chromium-Molybdenum Steel Trellis Frame ที่โอบอุ้มขุมพลังสูบเดี่ยว พร้อมห่อหุ้มด้วยชุดแฟริ่งที่มาในดีไซน์และสีสันอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งก็คือ ดำ-ส้ม เรียกได้ว่าเห็นมาแต่ไกล ก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเป็นสองล้อจากแบรนด์ KTM อย่างแน่นอน ในส่วนของรายละเอียดเริ่มกันตั้งแต่ด้านหน้า มาพร้อมไฟหน้าแบบมัลติรีเฟล็กเตอร์พร้อมไฟหรี่ในโคมเดียวกัน ขนาบข้างด้วยไฟเลี้ยว LED

 

เรือนไมล์ TFT สามารถบอกค่าการทำงานได้อย่างครบถ้วน

 

สตาร์ทและดับเครื่องยนต์ที่ปะกับแฮนด์ด้านขวา

 

ปะกับแฮนด์ด้านซ้ายสำหรับการปรับโหมด, ไฟเลี้ยว, แตร และไฟสูง

 

                 ขยับมาทางด้านหลังเป็นที่อยู่ของเรือนไมล์ที่มาในรูปแบบจอสี TFT ที่สามารถบ่งบอกค่าการทำงานได้อย่างครบถ้วน ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นความเร็ว, รอบเครื่องยนต์, ตำแหน่งเกียร์, โหมดการขับขี่, ปริมาณเชื้อเพลิง, ความร้อนเครื่องยนต์ รวมถึงยังทำหน้าที่เป็นชิฟท์ไลท์โดยการกระพริบเมื่อถึงรอบเครื่องยนต์ที่ตั้งไว้ ปะกับแฮนด์ด้านขวามาพร้อมสวิตช์สตาร์ทและดับเครื่องยนต์ ส่วนในด้านซ้ายมาพร้อมปุ่มแตร ไฟเลี้ยว ไฟสูงทั้งแบบกระพริบ (ใช้นิ้วชี้ดึงเข้าหาตัว) หรือเปิดไฟสูงค้างไว้ (ผลักสวิตช์ไปทางด้านหน้า) นอกจากนี้ยังมีปุ่มปรับโหมดรวมถึงปรับการแสดงผลอีกสี่ปุ่มที่ควบคุมลูกเล่นต่างๆ ได้ในบริเวณนี้ ถังน้ำมันมาในดีไซน์เพรียวบางตามคาแร็กเตอร์ของรถที่สื่อถึงความคล่องตัว สามารถจุเชื้อเพลิงได้ 14 ลิตร เบาะนั่งของ KTM 690 Duke R มาในแบบแยกส่วนระหว่างผู้ขี่และผู้ซ้อน โดยมีความสูงจากพื้น 865 มม. และมาพร้อมที่จับสำหรับผู้ซ้อน ส่วนในบั้นท้ายมาพร้อมไฟท้ายและไฟเลี้ยวแบบ LED

 

ไฟท้าย พร้อมไฟเลี้ยว LED

 

ที่จับสำหรับผู้ซ้อนเพิ่มความมั่นใจยามโดยสาร

 

                แม้จะเป็นรถในพิกัด Middle Class แต่เชื่อหรือไม่ว่า KTM 690 Duke R กลับทำน้ำหนักได้เบาจนหน้าอัศจรรย์ ด้วยน้ำหนักรถเปล่าๆ เพียง 147.5 กก. ด้วยเฟรมที่มีน้ำหนักเบา ซึ่งเฟรมเปล่าๆ น้ำหนักเพียง 9 กก. เท่านั้น เช่นเดียวกับในส่วนของเครื่องยนต์ LC4 ขนาด 692.70 ซีซี. 1 สูบ 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชัก อยู่ที่ 105 x 80 มม. ที่ออกแบบมาอย่างยอดเยี่ยม แม้จะมาในรูปแบบสูบเดียว แต่ได้รับการบาลานซ์ชาฟต์มาอย่างยอดเยี่ยม ซึ่งช่วยลดอาการสั่นสะท้านจากการทำงาน โดยเครื่องยนต์บล็อกนี้ สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ตามต้องการถึง 3 สเต็ป ก็คือ Sport, Street และ Rain รวมไปถึงระบบ Motorcycle Traction Control (MTC) นอกจากนี้ KTM 690 Duke R ยังมาพร้อมอีกหนึ่งความพิเศษ นั่นก็คือ การติดตั้งท่อไอเสียจากแบรนด์ระดับโลกอย่าง Akrapovic แบบสลิปออนมาให้จากโรงงาน ส่งผลให้สองล้อผู้นี้ มีสมรรถนะที่โดดเด่นถึง 75 แรงม้า กับแรงบิด 74 นิวตัน-เมตร พร้อมให้สุ้มเสียงที่ดุดันเป็นของแถม ระบบส่งกำลังมาในรูปแบบเกียร์ 6 สปีด ตัดต่อกำลังด้วยชุดคลัทช์น้ำมันจาก Magura แบรนด์ชั้นนำจากประเทศเยอรมนี นอกจากนี้ยังมีระบบ Motor Slip Regulatoin (MSR) เป็นตัวช่วยลดแรงกระชากขณะปิดคันเร่งหรือเชนจ์เกียร์ลงอย่างรวดเร็ว

 

ขุมพลัง LC4 สูบเดี่ยว ให้พลังสูงสุดถึง 75 แรงม้า

 

ท่อไอเสีย Akrapovic Slip On ตัวการแห่งสุ้มเสียงสุดเร้า

 

 

                สิ่งที่ถือว่าเป็นจุดเด่นของสองล้อจากค่าย KTM ทุกๆ รุ่น คงหนีไม่พ้นระบบช่วงล่างที่ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเริ่มต้นอย่างตระกูล 200 ก็ให้ระบบรองรับมาแบบจัดเต็ม ไม่หนีคอนเซ็ปท์ของทางค่ายภายใต้สโลแกน Ready To Race โดย KTM 690 Duke R มาพร้อมกับโช้คอัพคู่หน้าจากแบรนด์พันธมิตรของทางค่ายอย่าง WP แบบ Upside Down ขนาด 43 มม. ช่วงยุบ 150 มม. สามารถปรับรีบาวน์และคอมเพรสชั่นได้ตามต้องการ ส่วนโช้คหลังมาในแบรนด์ WP แบบ Sub Tank จับคู่กับระบบ Pro-Lever Linkage ช่วงยุบ 150 มม. สามารถปรับได้อย่างละเอียดทั้งพรีโหลด, รีบาวน์ และคอมเพรชชั่นทั้งแบบ Hi และ Low Speed ระบบเบรกในด้านหน้ามาพร้อมคู่หูจาก Brembo แบบเต็มระบบ ตั้งแต่มือเบรกส่งแรงผ่านมาตามสายถักสู่คาลิเปอร์ M50 แบบ MonoBlock 4 POT เรเดียลเม้าท์ ที่จับคู่อยู่กับชุดจานขนาด 320 มม. ส่วนในด้านหลังมาพร้อมคาลิเปอร์ 1 POT พร้อมจานไซส์ 240 มม. จาก Brembo เช่นเดียวกัน โดยเบรกชุดนี้ ทำงานร่วมกับระบบ ABS ควบคุมโดยระบบประมวลผลจาก Bosch 9M+ ที่สามารถเลือกโหมดการทำงานได้ทั้งการขับขี่ปกติบนถนน หรือแม้แต่โหมด Supermoto เพื่อการขับขี่ที่เร้าใจขึ้นอีกระดับ สำหรับยางที่ติดมาให้ใน KTM 690 Duke R เป็นยาง Metzeler M7 RR ไซส์ 120/70 R17 ในล้อหน้า และ 160/60 R17 ในล้อหลัง

 

จัดเต็มด้วยโช้คอัพ WP ทั้งหน้าและหลัง

 

ยาง Metzeler M7 RR ให้ประสิทธิภาพการยึดเกาะที่โดดเด่น

 

                เอาล่ะ...ว่ากันด้วยเรื่องสเป็คและฟังค์ชั่นกันมาพอหอมปากหอมคอแล้ว เรามาเริ่มในส่วนของฟีลลิ่งการขับขี่กันเลยดีกว่าครับ โดยหลังจากที่รับรถมาจากโชว์รูมพระราม 4 ผมลองขึ้นคร่อม โยกไปโยกมาเพื่อทำความคุ้นเคยกับตัวรถสักเล็กน้อย เนื่องจากตัวเบาะนั้นค่อนข้างสูงสำหรับสรีระแบบชายไทย 168 ซม. กับช่วงขา 77 ซม. เมื่อคร่อมแล้ว ปลายเท้า 2 ข้าง จะแตะๆ อยู่ที่พื้นพอดิบพอดี หากต้องการความสะดวกและมั่นคงกว่านั้น แนะนำให้วางเท้าข้างใดข้างหนึ่งแบบเต็มๆ พื้น ดูจะถนัดและมั่นคงกว่าครับ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีปัญหาจากน้ำหนักตัวรถมาเล่นงาน เพราะบอกได้เลยว่า KTM 690 Duke R น้ำหนักเบา ทรงตัวและคอนโทรลรถในขณะหยุดนิ่งได้ดีมาก เพื่อทำความคุ้นเคยกับตัวรถในช่วงแรก ผมจึงเริ่มลองขับขี่ด้วยโหมด Rain ซึ่งการขับขี่จากพระราม 4 นั้น ต้องผ่านสภาพการจราจรที่แออัด การซอกแซก ลัดเลาะตามช่องว่างทำได้ง่าย เนื่องจากตัวรถมีน้ำหนักที่เบา และมีความกว้างไม่มากนัก กำลังของเครื่องยนต์ 1 สูบ พิกัด 690 ซีซี. ส่งออกมาได้ใช้แบบเหลือเฟือ แม้จะขับขี่ในโหมด Rain แต่ก็ไม่รู้สึกว่ากำลังด้อยลงไปแม้แต่น้อย เนื่องจากเป็นการดร็อปความไวในการตอบสนองของระบบคันเร่งไฟฟ้า แต่หากต้องการความจัดจ้าน อาจจะต้องเติมคันเร่งมากกว่าปกติสักเล็กน้อย เนื่องจากวัตถุประสงค์ของโหมดนี้ สร้างมาเพื่อความปลอดภัยในสภาวะการขับขี่บนถนนที่เปียกลื่น โดยสิ่งที่น่าชื่นชมอีกอย่างสำหรับการขับขี่ในเมืองก็คือ ระบบคลัทช์น้ำมันที่ค่อนข้างนุ่มนวล ด้วยความที่รถค่อนข้างติด ทำให้บ่อยครั้งต้องใช้คลัทช์ แต่ก็ไม่ถือว่าสร้างปัญหาและความเมื่อยล้าให้กับนิ้วมือข้างซ้าย รวมไปถึงเรื่องที่นักขี่ทุกคนให้ความสนใจนั่นก็คือ เรื่องของความร้อนตอนรถติด ซึ่งสำหรับ KTM 690 Duke R นั้น ต้องบอกว่าแทบจะไม่รู้สึกระคายผิว แม้ในยามที่พัดลมทำงานตอนที่รถติด

 

การขับขี่ในเมืองทำได้อย่างคล่องตัว มุดง่าย ไม่ร้อนขา ท่านั่งสบายๆ

 

การปรับโหมดทำได้ง่าย สามารถเลือกความเร้าใจได้ตามต้องการ

 

                หลังจากที่สร้างความคุ้นเคยมาพอสมควรแล้ว ผมก็เริ่มขยับเลเวลความเร้าใจด้วยการปรับโหมดการขับขี่จาก Rain มาเป็น Street โดยวิธีการปรับนั้นสามารถทำได้ง่าย เพียงแค่กดที่ปุ่ม Set และเลื่อนหน้าจอมาที่ Drive Mode และเลือกโหมดที่ต้องการ ก่อนจะกดปุ่ม Set ค้างไว้ประมาณ 1 วินาที เป็นอันเรียบร้อย ความรู้สึกที่ได้หลังจากที่ปรับโหมดมาเป็น Street สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเลยก็คือ เรื่องการตอบสนองของคันเร่งที่ทำได้รวดเร็วกว่า เปิดคันเร่งเพียงเล็กน้อย KTM 690 Duke R ก็พร้อมจะพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร้าใจ เครื่องยนต์สูบเดี่ยวทำงานได้อย่างราบรื่น โดยในรอบต่ำๆ อาจมีอาการสั่นอยู่บ้างตามพื้นฐานของตัวเครื่อง แต่หากเกิน 4,000 รอบ/นาที ขึ้นไปแล้ว เรียกได้ว่าแทบไม่รู้สึกถึงอาการสั่นหรือสะท้านขึ้นมาที่มือ และถือว่าใช้งานได้ดี คล่องตัวในระดับที่ไม่สามารถหาได้จากรถในคลาสเดียวกัน จนไม่อยากจะเชื่อเลยว่า สองล้อที่ผมกำลังควบอยู่นี้ เป็นบิ๊กไบค์ที่มาในพิกัด 690 ซีซี. เพราะถ้าหากตัดเรื่องพละกำลังของเครื่องยนต์ออกไป ความรู้สึกที่คล่องตัวของ KTM 690 Duke R ก็แทบจะไม่แตกต่างจากรุ่นน้องในค่ายอย่าง 250 Duke หรือ 390 Duke ที่ผมเคยลองสัมผัสมาก่อนหน้านี้เลยทีเดียว

 

 

                เพื่อให้การทดลองขี่ KTM 690 Duke R ในครั้งนี้ เต็มอิ่มด้วยอรรถรสความเร้าใจ ผมจึงขอลองเปลี่ยนบรรยากาศโดยการนำสองล้อผู้นี้ ไปออกทริปต่างจังหวัดดูบ้าง ด้วยความคุ้นเคยที่มีอยู่มากประมาณแล้ว ผมจึงลองขยับโหมดการขับขี่อีกครั้ง โดยในคราวนี้ผมเลือกใช้โหมด Sport พร้อมปรับระบบการทำงานของ ABS ให้เป็นแบบ Supermoto เพื่อปลุกอารมณ์ในการขับขี่ให้ถึงขีดสุด การเดินทางในครั้งนี้ ผมยอมรับตามตรงเลยว่าใช้ความเร็วค่อนข้างสูง ด้วยปัจจัยที่ค่อนข้างเอื้อ ทั้งสภาพการจราจร สมรรถนะที่โดดเด่นของตัวรถ ซึ่งสิ่งที่ช่วยปลุกความเร้าใจให้ได้มากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นความดิบของตัวรถที่ยั่วให้ผมอดไม่ได้ที่จะเปิดคันเร่งด้วยความรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะขับขี่ในย่านความเร็วใด เครื่องยนต์ก็พร้อมที่จะสำแดงพลังอันเกรี้ยวกราดในยามที่เปิดคันเร่ง เมื่อโอกาสผมลองกระแทกคันเร่งที่เกียร์ 5 จาก 100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจ มาตรวัดบนหน้าปัทก็แสดงความเร็วกว่า 170 กม./ชม. โดยในย่านที่รู้สึกว่าเครื่องยนต์ดึงได้อย่างหนักหน่วงที่สุด ก็คือ ช่วงประมาณ 6,800 รอบ/นาที จนถึงช่วงเกือบ Red Line หรือประมาณ 8,500 รอบ/นาที ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นย่านกำลังสูงสุดที่เหมาะกับการใช้ในสนามได้เป็นอย่างดี ส่วนถ้าต้องการเดินทางแบบสบายๆ ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ในเกียร์ 6 รอบเครื่องยนต์จะหมุนอยู่ที่ประมาณ 4 พันนิดๆ เท่านั้น (ซึ่งสำหรับเกียร์ 6 จะเหมาะกับการใช้งานที่ความเร็ว 90 กม./ชม. ขึ้นไป)

 

Motorcycle Traction Control และ ABS สามารถเลือกเลเวลการทำงานได้ตามต้องการ

 

                ในส่วนของช่วงล่างเป็นอีกหนึ่งหัวใจหลักที่ผมขอยกให้ KTM เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่พิถีพิถันในเรื่องนี้มากๆ เนื่องจากช่วงล่างที่ติดตั้งมาให้จากโรงงาน สามารถตอบสนองการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งการขับขี่ทั่วๆ ไปบนท้องถนน รวมไปถึงการขับขี่ในระดับที่ต้องการความเร้าใจสูงๆ ขึ้นไป ซึ่งไม่รู้สึกถึงอาการเหวอหรือออกอาการย้วยให้เสียวเล่นๆ แม้ว่ารถจะมีน้ำหนักที่ค่อนข้างเบามากๆ ก็ตาม การพลิกโค้งซ้าย-ขวาทำได้อย่างรวดเร็ว เนื่องด้วยหน้ายางที่มีขนาดเพียง 160 และน้ำหนนักตัวรถที่ค่อนข้างเบา นอกจากนี้สิ่งที่ช่วยให้การขับขี่ KTM 690 Duke R ทำได้อย่างเชื่องมือยิ่งขึ้นคงหนีไม่พ้นระบบ Motorcycle Traction Control (สามารถปิดการทำงานได้ โดยกดสวิตช์ค้างไว้ประมาณ 3 วินาที) ที่จะคอนจับอาการของรถให้อยู่กับร่องกับรอย ในยามที่เผลอเปิดคันเร่งขณะที่สถานะของตัวรถไม่เอื้ออำนวย เช่น การเข้าโค้งแคบด้วยความเร็วต่ำหรือยูเทิร์น หากเผลอเดินคันเร่งเยอะไป (ซึ่งเปิดเบาๆ ในโหมด Sport ล้อหลังก็พร้อมจะสลิปแล้ว) จนเสียอาการ ระบบจะตัดกำลังให้รถกลับมาอยู่ในอาการที่เหมาะสม ซึ่งช่วยให้การขับขี่ทำได้ง่ายยิ่งขึ้น

 

เบรกหน้า Brembo M50 พร้อมจาน 320 มม. ให้พลังในการเบรกที่ดีเกินคาด

 

 

                ก่อนที่จะได้มาทดลองขี่ KTM 690 Duke R องค์ประกอบที่ดูจะขัดหูขัดตาผมที่สุดคงหนีไม่พ้นระบบเบรก ซึ่งปกติแล้ว บิ๊กไบค์ในคลาส 600 ซีซี. ขึ้นไป แทบจะทุกแบรนด์ที่มีขายในท้องตลาด จะมาพร้อมดิสเบรกหน้าแบบจานคู่ แต่สำหรับรุ่นนี้มาพร้อมจานแบบเดี่ยว จนอาจให้ความรู้สึกที่ขัดกับความเป็นบิ๊กไบค์ที่เปี่ยมด้วยพละกำลัง แต่ความคิดผมก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อได้ทดลองขี่เจ้า KTM 690 Duke R แบบจริงๆ จังๆ โดยระบบเบรกชุดนี้ ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมในทุกย่านความเร็ว ไม่เว้นแม้การเบรกในย่านความเร็วสูงก็สามารถสยบความบ้าคลั่งของฝูงม้าทั้ง 75 ตัว ได้อย่างเชื่องมือ ซึ่งนอกจากจะให้พละกำลังในการเบรกที่ดีแล้ว ยังโดดเด่นในเรื่องของเสถียรภาพ โดยไม่มีอาการดึงหรือเป๋แม้ว่าจะเบรกด้วยความรุนแรง เช่นเดียวกับระบบ ABS ที่ให้น้ำหนักในการทำงานอย่างพอเหมาะ พร้อมสร้างความมั่นใจทุกย่างก้าว

 

 

                KTM 690 Duke R จัดเป็นสองล้อ Naked Middle Class อีกหนึ่งรุ่นที่ถือว่ารังสรรค์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดีไซน์ที่ดูมีเอกลักษณ์ ความแข็งแกร่ง ทนทานตามแบบฉบับของ KTM รวมไปถึงสมรรถนะการขับขี่ที่โดดเด่นเกินใคร สามารถตอบรับความเร้าใจได้ทุกรูปแบบตามสโลแกน Ready To Race ซึ่งผมอยากจะบอกชาว BoxzaRacing ทุกท่าน ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร ขอท่านจงอย่าเชื่อ...จนกว่าจะได้สัมผัสกับความครบเครื่องของ KTM 690 Duke R

 

KTM 690 Duke R ราคา 679,000 บาท

 

ขอขอบคุณ : บริษัท เบิร์นรันเบอร์ จำกัด เอื้อเฟื้อรถในการทดลองขี่

รถซื้อสอง ซื้อขายรถ ของแต่งรถ

ข่าวที่ใกล้เคียง

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook