สวัสดีสาวกสองล้อทุกๆ ท่านครับ เป็นอีกครั้งที่ทาง BoxzaRacing ได้รับเกียรติจาก Triumph Thailand ให้เข้าร่วมทดลองขี่รถจักรยานยนต์ถึง 2 รุ่นด้วยกัน โดยครั้งนี้จัดขึ้นที่ จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 27-28 เมษายน 2559 ผมว่า...สายวินเทจ สายคลาสสิค สายซิ่ง ไม่ว่าจะสายไหนก็ต้องอิจฉาผมเป็นแน่ เพราะครั้งนี้รถที่ผมได้ทำการทดลองขี่ คือ เจ้า Thruxton R และ T120 ที่เป็นรถในครอบครัว Bonneville ซึ่งเป็นเจ้าแห่งความคลาสสิค ด้วยรูปทรงของรถที่สะกดทุกสายตาให้จับจ้องมาที่มัน แม้ขณะจอดหรือขับขี่เลยทีเดียว
ผมเดินทางถึงโรงแรม ณ จ.เชียงใหม่ พร้อมกับการต้อนรับเป็นอย่างดีของทางทีมงาน Triumph Thailand ผมกล่าวคำทักทายกันสั้นๆ เพราะด้วยเวลาที่บีบเข้ามา เรารีบรับประทานเช้ากันอย่างรวดเร็ว พร้อมเข้าห้องประชุมเพื่อบริ๊ฟเส้นทางการขี่ของทั้ง 2 วัน กันครับ โดยเส้นทางหลักๆ คือ ไป-กลับเชียงใหม่ – อ.ปาย คุณพระ ! ได้ข่าวว่าถนนหลักๆ ที่ใช้เดินทางไป อ.ปาย มีการทำใหม่หมดแล้วพื้นถนนค่อนข้างดีมากๆ ครั้งนี้เราจะเริ่มจากการขี่ทดสอบเจ้า T120 & T120 Black กันก่อนครับ
เรือนไมล์อนาล็อกสุดคลาสสิค
ขุมพลังใหม่ 1,200 ซีซี. หัวฉีด ระบายความร้อนด้วยน้ำ
Bonneville T120 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 1,200 ซีซี. 2 สูบเรียง 8 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมแรงบิดที่สูงถึง 105 Nm เพิ่มขึ้นจากรุ่นเก่าถึง 54% กับแรงม้าอีก 80 ตัว ที่ 6,500 รอบ/นาที ควบคุมผ่านคันเร่งไฟฟ้า (Ride-By-Wire) ส่งกำลังผ่านเกียร์ 6 Ppeed เครื่องยนต์ตัวนี้เน้นแรงบิดในรอบต่ำครับ มาเร็ว มาหนัก เรียกได้ว่าเปิดคันเร่งที หน้าหงายกันเลยทีเดียว รูปลักษณ์ภายนอกยังคงสวยงาม สมชื่อตระกูล Bonneville มองผ่านๆ แทบจะเข้าใจผิดว่านี่คือ ตัว Street Twin ด้วยรูปทรงที่คล้ายกันมาก แต่พอดูกันจริงๆ แล้ว เจ้า T120 มีมิติรถที่ค่อนข้างใหญ่กว่าครับ อาจจะด้วยขนาดของถังน้ำมันที่ใหญ่กว่า ล้อเป็นซี่ลวดดูคลาสสิคมากๆ รัดด้วยยาง Pirelli Phantom ท่อทรง Pea Shooter ไฟหน้าทรงกลมแต่มาพร้อมไฟ Daylight LED แผงหน้าปัดทรงกลมคู่ บอกรายละเอียดครบถ้วน มีโหมดการขับขี่ให้เลือกใช้ 2 แบบ คือ Rain และ Road ดิสเบรกคู่หน้า ระบบช่วยเหลือที่ถือว่ารถในยุคนี้ต้องมีไม่ว่าจะเป็นระบบ Traction Control + ABS แต่สามารถปิด-เปิดได้ เพียงปลายนิ้วจากปุ่มควบคุมทางด้านซ้ายมือ
พลิ้วไหว ไม่หวั่นทุกเส้นทาง
จากที่ได้ลองขทดสอบขี่ด้วยระยะทางไม่ต่ำกว่า 130 กิโลเมตร ท่าทางการขับขี่คล้ายเจ้า Street Twin ครับ หลังตรง ระยะแฮนด์บาร์พอเหมาะ พักเท้าอยู่ต่ำทำให้ไม่เมื่อยข้อเท้าหรือต้นขา เส้นทางค่อนข้างโหดครับ มีโค้งที่รัศมีแคบๆ อยู่หลายโค้ง ขึ้นเขา ลงเขา แรงบิดของเครื่องยนต์ตัวนี้ ทำได้ดีอย่างเหลือเชื่อครับ ผมลองใช้เกียร์ 2 - 3 ขึ้นทางชันดูหลายครั้ง เรียกได้ว่าเปิดคันเร่งปุ๊บ กำลังของเครื่องยนต์สามารถส่งตัวรถที่หนักเกือบ 200 กิโลกรัม แถมมีน้ำตัวผมอีก ขึ้นผ่านทางชันไปได้แบบสบายๆ ช่วงล่างที่ให้มายังคงนุ่มนวลขับขี่สบาย มีอาการดิ้นเล็กน้อยเวลาเข้าโค้งหนักๆ ระบบเบรคดีมากครับ กระชับนุ่มมือไม่ต้องออกแรงกดเยอะ แต่บางจังหวะที่เอียงรถเพื่อเข้าโค้งก็ทำให้พักเท้าครูดพื้นกันอยู่บ่อยครั้ง แฮ่ๆ ก็มันอดใจไม่ไหวหนิครับ ก็รถมันคอนโทรลง่าย มากๆ อัตราทดเกียร์ของเจ้า T120 ทาง Triumph คิดคำนวณออกมาอย่างพอดิบพอดี สามารถเดินทางออกทริปไกลๆ โดยที่รอบเครื่องยนต์ไม่สูงมาก ทำให้มีอัตตราการสิ้นเปลืองน้ำมันต่ำมาก
เราเดินทางมาถึงโรงแรงที่ อ.ปาย ช่วงบ่ายครับ หลังจากที่จอดเจ้า T120 ผมและสื่อมวลชนทุกสำนัก ต่างให้ความยอมรับในแรงบิดของเครื่องยนต์รุ่นนี้กันทุกคน ส่วนแชสซี ช่วงล่าง เบรก ยาง ท่าทางการขับขี่ที่ค่อนข้างสบาย ทำให้เจ้า T120 เป็นรถที่ลงตัวอย่างน่าเหลือเชื่อ
Triumph Thruxton R
แต่สิ่งที่กำลังดึงดูดสายตาทุกๆ คนในขณะนั้น คือ กลุ่มรถกลุ่มนึงเกือบ 10 คัน ที่จอดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ผมไม่รู้ว่าผมจะใช้คำนิยามกับสิ่งที่ผมเห็นยังไง ? แต่สิ่งนั้นมันทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น สะดุดตา ลืมความเหนื่อยล้าหรือหิวกระหาย...มันหล่อมากๆ ครับ แน่นอนครับมันคือ เจ้า Thruxton R มันทำเอาใจผมไปหมดเลยจริงๆ ผมถึงกับต้องเดินเข้าไปดูความงดงามของมันให้ใกล้ขึ้นอีก พอที่ผมจะเห็นความประณีตของการออกแบบ และวัสดุที่ใช้ของรถคันนี้
ไฟหน้าดีไซน์คลาสสิค พร้อม LED Day Light สไตล์โมเดิร์น
เบรคคู่หน้าจาก Brembo พร้อม ABS ที่สามารถเปิด-ปิด การทำงานได้ตามต้องการ
เจ้า Thruxton R ถ้ามีรหัส “R” จะต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ รูปลักษ์ยังคงความโมเดิร์นคลาสสิค กระจกปลายแฮนด์ สไตล์ Café Racer แต่อุปกรณ์ต่างๆ ที่ให้มากับเจ้า Thruxton R ทำให้ผมนึกถึงรถระดับ Super Bike ทำไมน่ะหรอครับ ? หึหึ โช็คอัพคู่หน้าจากค่าย Showa ที่สามารถปรับเซ็ตค่าได้ทุกอย่าง Preload -Rebound –Compression โช็คอัพคู่หลังจาก Ohlins ปรับเซ็ตค่าได้ครบถ้วนเช่นกัน ระบบเบรกหน้าเลือกใช้ของ Brembo เต็มระบบ เริ่มจากปั๊มเบรกบน ผ่านสายน้ำมันเบรคถักลงมาถึง คาร์ลิเปอร์คู่หน้าหูยึดแบบเรเดียลเมาท์ โมโนบล็อก จานเบรก Brembo ขอบล้ออลูมิเนียม สวิงอาร์มหลังอลูมิเนียม ยางที่ให้มาก็ไม่ธรรมดาครับ Pirelli Daibo Rosso Corsa หน้า120/70 หลัง 160/60 ซึ่งเป็นยางถนนกึ่งสนาม ผมนี่อยากจะเปลี่ยนสถานที่ตรงนี้ ให้กลายเป็นสนามแข่งซะจริงๆ คงจะมันส์น่าดู
เต็มๆ สมรรถนะกับโช๊คอัพคู่หลังจาก Ohlins
เครื่องยนต์กันบ้างครับ ยังคงใช้พื้นฐานเดียวกับตัว T120 ครับ แต่ได้รับการปรับเซ็ตให้มีสมรรถนะที่เร้าใจยิ่งขึ้นด้วย แรงบิดที่สูงถึง 112 Nm ที่ 4,950 รอบ/นาที เพิ่มขึ้นจากรุ่นเก่าถึง 62% และแรงม้า 97 ตัว ที่ 6,750 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ 6 Speed ทาง Triumph เค้นเอาความสามารถของเครื่องตัวนี้ออกมาแบบเต็มพิกัด มันฟ้องอยู่ที่ตัวเลขของแรงบิด และแรงม้า ที่ขยับเพิ่มขึ้นจากเครื่องยนต์ที่อยู่ใน T120 อย่างเห็นได้ชัด เอ๊ะ ! แล้วมันเพิ่มมาได้ยังไง ? ทั้งๆ ที่ใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวกัน ข้อมูลที่ทางทีมงาน Triumph ให้มา คือ มีการปรับเปลี่ยน Map ของกล่อง ECU มีการเพิ่มและปรับอัตตราส่วนผสมของการจุดระเบิดในเครื่องยนต์ใหม่ทั้งหมดครับ ทำให้เครื่องยนต์ตัวนี้ จะมีโหมดการใช้งานเพิ่มขึ้นมาอีก 1 โหมด คือ โหมด Sport ทำให้นิสัยเครื่องยนต์ของ Thruxton R จะแตกต่างจากเจ้า T120 อย่างชัดเจนครับ
แค่บิดเบาๆ ก็มียกกับเขาเหมือนกัน
หลังจากพักรับประทานอาหารกลางวัน แสนอร่อยกันเป็นที่เรียบร้อย ผมและสื่อทุกคนก็ไม่รอช้าที่จะกระโดดขึ้นคร่อมเจ้า Thruxton R ที่ทางทีมงานจัดเตรียมไว้ ผมเองเป็นคนที่ไม่ค่อยชื่นชอบแฮนด์จับแบบคลิปออน ที่องศากดต่ำๆ แบบนี้เท่าไหร่นัก กลัวว่าจะทำให้เมื่อและปวดข้อมือเวลาขี่ทางยาวๆ แต่สำหรับ Thruxton R ไม่เป็นแบบนั้นครับ องศาแฮนด์ที่ไม่กดลงมาก ผสานกับเบาะนั่งที่ไม่ได้สูงมาก ทำให้ไม่ต้องออกแรงรับน้ำหนักลงไปที่ข้อมือของผมเลย พักเท้าเองก็ไม่ได้เยื้องไปด้านหลังเยอะเกินไป รวมๆ ทำให้ทานั่งของ Thruxton R ดูเก๋าเข้ากับสไตล์ Café Racer อย่างไม่ขัดเขิน อ่อ...แล้วคุณก็ไม่ต้องกลัวว่าแฟนของคุณจะขอตามซ้อนท้ายคุณออกไปซิ่งนะครับ เพราะ Thruxton R ไม่มีพักเท้าสำหรับคนซ้อนหรือเบาะหลังนุ่มๆ ให้ครับ ฮ่าๆๆ (ตรงนี้ถูกใจผมจริงๆ)
ท่านั่งสไตล์สปอร์ต ที่ไม่รู้สึกว่าทำให้ชีวิตลำบากมากนัก
เราได้ขี่เจ้า Thruxton R กันอย่างหนำใจ ส่วนตัวผมหวดไปเก็บภาพ จาก อ.ปาย - ปางมะผ้า และจาก อ.ปาย กลับมาถึงตัวเมืองเชียงใหม่ รวมๆ แล้วเกือบ 220 กิโลเมตร มันเป็นรถ café Racer ที่ให้อารมณ์เหมือนรถ Super Bike มากๆ ทั้งท่านั่ง ทั้งอัตราเร่งที่ดุดัน ผมเลือกที่จะ ปิดระบบ Traction Control และเลือกใช้โหมด Sport เพื่อต้องการเค้นพลังของเครื่องยนต์ออกมาให้เต็มที่ (ยังคงเปิด ABS) แล้วมันก็ทำให้ผมประทับใจมากๆ ครับ กำลังของเครื่องยนต์มีมาให้ใช้ตั้งแต่รอบต้นและดึงหนัก ลากยาวจนถึง Red Line ในทุกๆ เกียร์ ค่อนข้างต่างจากตอนขี่เจ้า T120 อย่างชัดเจน ที่จะมาหนักในรอบต้นๆ แต่จะหมดในรอบปลายของแต่ละเกียร์ และการที่จะทำให้ล้อหน้าของเจ้า Truxton R ลอยขึ้นจากพื้นนั้นไม่ใช่เรื่องยากครับ เพียงแค่คิดและกระแทกข้อมือขวาเพื่อเปิดคันเร่งหนักๆ แค่นั้นก็เรียบร้อยครับ ที่เหลือก็แค่มองไปข้างหน้าผ่านแฮนด์กับแผงหน้าปัดที่บังสายตาคุณให้ได้ก็พอ ช่วงล่างเป็นอะไรที่เพอร์เฟคครับ ผมใช้ค่ามาตรฐานของทางโรงงาน มันลงตัวครับ ไม่แข็งกระด้าง แต่ก็ไม่มีอาการยวบยาบจนเกินไป ไม่ว่าจะหลุมเล็กหลุมใหญ่ ถนนขรุขระ ก็รับมือได้หมดหรือแม้กระทั่งการใช้ความเร็วสูงแล้วเบรคหน้าหนักๆ เพื่อเตรียมเข้าโค้ง ตัวโช๊คอัพเองก็ยังรักษาความสมดุลไว้ได้อย่างดี ระบบเบรกมั่นใจได้ตลอดเส้นทาง ยาง Pirelli ที่ให้มาทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม บางครั้งมีอาการล้อหลังสไลด์ในจังหวะที่เปิดคันเร่งหนักๆ เพื่อออกจากโค้ง (ผมปิดระบบ Traction Control) แต่ถ้าคุณให้ระบบช่วยเหลือทำหน้าที่ของมัน คุณก็ไม่ต้องกังวลว่าคุณจะไปนอนเล่นข้างทางอย่างแน่นอนครับ
รถทั้ง 2 รุ่นนี้ Bonneville T120 และ Thruxton R ต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ค่อนข้างชัดเจน เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน คิดง่ายๆ ครับ ถ้าคุณชอบขี่กินลมชิลๆ พาสาวๆ ซ้อนท้ายไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะในเมืองหรือออกเดินทางไปต่างจังหวัด ภาพคุณกับเจ้า T120 คงลอยเข้ามาในหัวคุณแน่ๆ แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบรถแนว Café Racer ที่มีกำลังเครื่องยนต์และช่วงล่างอันยอดเยี่ยม สามารถพาคุณไปที่ความเร็วเกิน 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในไม่กี่วินาทีแล้วล่ะก็ ผมแนะนำให้คุณเริ่มเก็บเงินหยอดกระปุกไว้ได้เลยครับ เพราะคุณคงต้องควักเงินเพิ่มเพื่อจะไปคว้าเจ้า Thruxton R มาครอบครองให้ได้ เพราะราคาค่าตัวของทั้งสองตัวนี้ ต่างกันอยู่ ราวๆ 70,000 บาท ค่าตัวของเจ้า T120 & T120Black อยู่ที่ 530,000 บาท ส่วนเจ้า Thruxton R อยู่ที่ 600,000 บาท คราวนี้ก็อยู่ที่ ไลฟ์สไตล์ของคุณแล้วล่ะครับ ว่าคุณจะเดินทางสายไหน ?